วันที่ 15 ต.ค. 68 สำนักข่าว Yonhap รายงานว่า ชาวเกาหลีใต้ที่หลบหนีจากเครือข่ายอาชญากรรมในกัมพูชาสำเร็จ ได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กระทรวงการต่างประเทศและสถานทูตเกาหลีใต้ เกี่ยวกับการตอบสนองอย่างเฉยเมยเมื่อขอความช่วยเหลือ
นายเอ ซึ่งได้รับการช่วยเหลือที่ปอยเปต ประเทศกัมพูชา ให้สัมภาษณ์กับ Yonhap ว่า “ผมได้ส่งอีเมลไปยังเอกอัครราชทูต กงสุล และรัฐมนตรี เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่พวกเขาไม่เคยตอบรับ”
เขากล่าวเสริมว่า “จนกระทั่งครอบครัวของผมและสำนักงาน สส.พัค จัน-แท ได้แจ้งข้อมูลดังกล่าวไปยังกระทรวงการต่างประเทศ พวกเขาจึงได้ให้ความช่วยเหลือในที่สุด”
นายเอเล่าว่า เขาถูกกักขังอยู่ในเครือข่ายอาชญากรรมเป็นเวลาประมาณ 160 วัน และถูกทำร้ายและทรมาน “โอกาสที่จะได้รับการช่วยเหลือตามขั้นตอนปกติมีน้อยกว่า 3%”
การช่วยเหลือขั้นตอนปกติหมายความว่า ตำรวจท้องถิ่นในกัมพูชาจะให้ความช่วยเหลือเฉพาะเมื่อเหยื่อแจ้งความด้วยตนเองว่าถูกลักพาตัวหรือถูกกักขัง โดยแนบที่อยู่ปัจจุบัน ข้อมูลติดต่อ และรูปถ่าย แต่เนื่องจากเหยื่อที่ถูกกลุ่มอาชญากรรมในกัมพูชาจับส่วนใหญ่จะถูกยึดหนังสือเดินทาง โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด และห้ามถ่ายภาพ จึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่เหยื่อจะรายงานตัวต่อตำรวจท้องถิ่นได้
ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าความช่วยเหลืออย่างแข็งขันจากกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเหยื่อ แต่เหยื่อกลับรายงานความยากลำบากในการขอความช่วยเหลือจากสถานทูตเกาหลีใต้ในกัมพูชา ตลอดจนกระบวนการรายงาน ช่วยเหลือ และส่งตัวกลับประเทศ
แม้หลังจากหลบหนีขบวนการอาชญากรรมและพบสถานทูตแล้ว เหยื่แก็ยังมีความเสี่ยงที่จะถูกจับซ้ำ ซึ่งนำไปสู่ความยากลำบากในการเดินทางกลับบ้าน
ด้าน นายบี ซึ่งหลบหนีจากแก๊งอาชญากรในกัมพูชาเมื่อต้นปีนี้ กล่าวว่า “ผมถือว่าตัวเองโชคดีอย่างเหลือเชื่อที่รอดชีวิตมาได้ แม้จะมาถึงสถานทูตแล้ว ผมก็ยังต้องถ่ายรูปเพื่อทำหนังสือเดินทางฉุกเฉินและงานอื่น ๆ ของสถานทูตด้วยตัวเอง”
ทันทีหลังจากหลบหนี นายบีได้รับการติดต่อทางเทเลแกรมจากสมาชิกแก๊งอาชญากรอย่างต่อเนื่อง พวกเขายืนยันว่า ได้ส่งคนไปตามล่าตัวเขาแล้ว และการจับกุมเขาเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น
นายบีเล่าว่า “ระหว่างที่อยู่ที่สถานทูต ผมมองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นรถยนต์ของกลุ่มอาชญากรขับวนเวียนไปมา ผมกลัวมากจนร้องไห้ สงสัยว่าผมจะไปถึงโรงแรมทันหรือไม่”
พวกเขาขอให้กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีใต้ช่วยเหลือตำรวจท้องถิ่นอย่างจริงจังในการช่วยเหลือเหยื่อชาวเกาหลีใต้ และให้ความสำคัญกับความเสี่ยงเพิ่มเติมที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางกลับ
นายเอบอกว่า “ผมคาดว่าจะมีเจ้าหน้าที่จากสถานทูตอย่างน้อย 1 คนมาร่วมด้วยระหว่างการช่วยเหลือ แต่ปรากฏว่ามีเพียงตำรวจกัมพูชาเท่านั้นที่ปรากฏตัว ซึ่งน่าตกใจมาก ผมตกใจมาก คิดว่าผู้จัดการที่เป็นชาวเกาหลี-จีนได้แจ้งตำรวจไปแล้วว่าเขาทำงานเสร็จแล้ว และอาจจะจ่ายเงินให้ตำรวจมาจับผม”
นายบียังได้กล่าวถึงชื่อของเหยื่อที่ถูกคุมขังร่วมกับเขา และเรียกร้องให้รัฐบาลเกาหลีใต้ดำเนินการอย่างแข็งขัน โดยกล่าวว่า “ผมรู้สึกโล่งใจที่หนีออกมาจากกลุ่มอาชญากรได้ แต่ก็เป็นห่วงคนที่ไม่สามารถออกไปได้”
เรียบเรียงจาก Yonhap