ครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อ 8 ส.ค. และครั้งที่สองเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 14 ส.ค.
ที่สำคัญครั้งที่สองนี้เสียงรัฐบาลหายไปถึง 30 เสียงด้วยกัน จนเกิดคำถามว่า “หายไปไหน?”
ความพ่ายแพ้ทั้งสองครั้งกลายเป็นปัญหาหนักอกของรัฐบาลที่จะต้องผจญไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่เสียงยังคงปริ่มน้ำ เพราะเสียงที่ปริ่มน้ำจะพารัฐบาลจมน้ำเสียเมื่อไหร่ก็ได้
สองครั้งนี้ยังดีที่เป็นเรื่องของข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร แต่หากเป็นกฎหมายฉบับสำคัญๆเล่า รัฐบาลจะรับผิดชอบอย่างไร และกฎหมายสำคัญฉบับแรกก็รอจ่อคิวคือ ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณประจำปี 2563
และหากเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจเล่าจะเป็นอย่างไร
เสียงปริ่มน้ำออกฤทธิ์! รบ.โหวตแพ้ฝ่ายค้าน 1 เสียง พปชร.ขอลงคะแนนใหม่ แต่ “ชวน” ปฏิเสธ
พท.เฮ! ฝ่าย รบ.แพ้โหวตรอบ 2 ถกข้อบังคับประชุมสภาฯ
นี่คือสิ่งที่รัฐบาลต้องเผชิญ เพราะเสียงปริ่มน้ำนี้มาจากการออกแบบของรัฐธรรมนูญ ที่ไม่ต้องการให้รัฐบาลมีเสียงข้างมาก ประกอบกับการคำนวณ ส.ส. จากสูตรเลือกตั้งพิศดารทำให้เกิดพรรคการเมืองขนาดเล็กเป็นจำนวนมาก
รัฐบาลได้ต่อยอดกติกาพยายามรวบรวมเสียงจากพรรคต่างๆ พรรคเล็กพรรคน้อย จนสุดท้ายก็ได้เสียงข้างมากมาแบบฉิวเฉียด และพา “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ขึ้นสู่ตำแหน่งรัฐมนตรี
ซึ่งในวันนั้นใครๆก็เริ่มอ่านออกแล้วว่ารัฐบาลนี้น่าจะลำบาก เพราะเสียงที่มีอยู่ปริ่มน้ำเสียเหลือเกิน ปริ่มชนิดว่าแทบจะลุกไปไหนไม่ได้กันเลยทีเดียว
และก็เป็นอย่างที่เห็นกันว่ารัฐบาลแพ้โหวตมาแล้วสองครั้ง
ขณะที่พรรคเล็กเองก็ออกอาการงอแง ตีรวน เรียกร้อง พร้อมขู่ว่าหากไม่ได้ก็จะถอนตัวจากการ่วมรัฐบาล ทำให้รัฐบาลต้องรีบประเคนให้
อย่างล่าสุดก็มอบให้ทั้งตำแหน่งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีและผู้แทนการค้าไทย
เรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นเรื่อยๆ ทุกการโหวตจะมีการเรียกร้องและขู่จะถอนตัวเกิดขึ้น และค่าตัวก็จะแพงขึ้นเรื่อยๆ ตามความสำคัญของวาระที่ต้องพิจารณา
ครั้นจะไม่ให้ตามที่ถูกเรียกร้องรัฐนาวาก็อาจจะจมน้ำเอาเสียดื้อๆ
และไม่เพียงกับพรรคเล็กเท่านั้น แต่มีเสียงในพรรคตัวเองที่พร้อมจะเรียกร้องเช่นกัน หากยังจำได้ “สามมิตร” เองก็ไม่ได้มีความสุขนักในการจัดตั้งรัฐบาล มิพักต้องพูดถึงพรรคร่วมอื่นๆ ที่ย่อมมองว่าขนาดพรรคละหนึ่งคน ยังเรียกร้องได้ขนาดนี้ แล้วพรรคตัวเองก็ย่อมต้องมีสิทธิได้เช่นกัน
สภาพจับปูใส่กระด้งจะเป็นภาพที่ชินตา
“มงคลกิตต์” ยัน ไม่หวนร่วมรัฐบาล พร้อมเอกเทศ
“อุตตม” เรียกประชุมด่วน พปชร. เคลียร์ปัญหาพรรคเล็กก่อหวอด
ขึ้นอยู่กับว่า “พลังประชารัฐ” และ “ประยุทธ์” จะอดทนอดกลั้นกับสิ่งเกิดขึ้นได้นานขนาดไหน และมีกำลังจ่ายไม่ว่าจะด้วยรูปแบบใดไปอีกนานแค่ไหน
ขณะที่พรรคฝ่ายค้านก็จะเริ่มเปิดเกมรุกหนัก เพราะเท่าที่เห็นการจับมือยังเหนียวแน่นและมีระเบียบวินัยกว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากพรรคฝ่ายค้านเสนอกฎหมายเข้าสภาและชนะโหวต ผ่านกฎหมายออกมาเรื่อยๆ ขณะเดียวกันหากฝ่ายรัฐบาลเสนอกฎหมายแล้วก็ถูกคว่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า การบริหารก็ย่อมเดินหน้าไม่ได้
คำถามก็จะเกิดว่า ตกลงใครกันแน่ที่เป็นรัฐบาล!?