ภายในงานเสวนารับฟังความเห็นและข้อเสนอแนะจากหลายภาคส่วนเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติแร่ฉบับใหม่จัดโดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติร่วมด้วย สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย มหาวิทยาลัยรังสิต มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม รวมถึงประชาชนจากหลายจังหวัดที่ได้รับผลกระทบจากเหมืองแร่ เพื่อนำข้อเสนอจากทุกฝ่ายเป็นข้อเสนอแนะต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.แร่ และผลักดันให้เกิดการปรับปรุงแก้ไขรายละเอียดบางข้อใน พ.ร.บ.ให้เกิดความเหมาะสมต่อเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และป้องกันแก้ไขปัญหาข้อพิพาทกาาละเมิดสิทธิมนุษยชนเกี่ยวกับการทำเหมืองในอนาคต
นางสาวศยามล ไกรยูรวงศ์ สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย หรือ คปก.ระบุร่างพ.ร.บ.แร่ฉบับนี้ไม่แตกต่างจากของปี 2510 มากนัก และไม่มีการกำกับดูแลปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมรวมถึงกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนไม่มากเท่าที่ควร เช่น การขอประทานบัตรเพื่อประกอบกิจการเหมือง ผู้ประกอบการสามารถยื่นคำร้องต่อพนักงานอุตสาหกรรมแร่ประจำท้องถิ่นได้โดยไม่ต้องผ่านกรมทรัพยากรพื้นฐานและการเหมืองแร่ หรือ กพร.และแม้ว่าจะมีการจัดตั้งกองทุนสนับสนุนผู้ทำเหมืองแต่กลับไม่มีกองทุนสำหรับฟื้นฟูเหมืองหลังจากปิดเหมืองเพื่อคืนสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับประชาชน
ด้านตัวแทนจากเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากเหมืองแร่ นายเลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ มองว่าร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้มีหลายมาตราที่เอื้อประโยชน์ต่อการประกอบกิจการเหมืองแร่ โดยเฉพาะ มาตรา 12 เพื่อประโยชน์แก่เศรษฐกิจของประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีอำนาจประกาศกำหนดพื้นที่แหล่งแร่เพื่อทำเหมืองได้เป็นอันดับแรก ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าอาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ที่เป็นแหล่งน้ำเขตป่าสงวนแห่งชาติ หรือเขตป่าอนุรักษ์
อีกทั้งยังมองว่ามีการลดขั้นตอนการทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเอตามมาตรา 132 ที่ระบุว่าหากพบพื้นที่เหมาะสมแก่การพัฒนาเป็นแหล่งแร่เพื่อทำเหมืองตามคำแนะนำของกพร.สามารถจัดทำอีไอเอได้ทันทีเพื่อขอความเห็นชอบตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติก่อนออกประทานบัตรให้ทำเหมืองในพื้นที่ดังกล่าว