ตลอด 2 ปีของการควบคุมการสื่อสารอย่างเข้มข้น การเคลื่อนไหวขององค์กรสื่อในวันนี้ ถือว่าเป็นการแสดงท่าทีที่ชัดเจนที่สุดครั้งหนึ่ง สาเหตุที่ต้องเป็นเช่นนี้ ตัวแทนองค์กรวิชาชีพสื่อ ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า คำสั่ง ประกาศและกฎระเบียบที่ออกมาในช่วงของ คสช. มีผลต่อการตัดสินใจการนำเสนอของสื่อมวลชน โดยที่ คสช.อาจไม่เคยรู้
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ร่วมกันอ่านแถลงการณ์และแสดงสัญญาหลักประกันเสรีภาพ โดยระบุว่า ตลอด 2 ปีมานี้ การจำกัดกรอบการนำเสนอข้อมูลภายใต้คำสั่งและประกาศของ คสช. ส่งผลให้ข่าวบางชิ้นต้องตกหล่นไปจากการพิจารณา โดยบรรณาธิการของสำนักข่าวต่างๆจำนวนหนึ่ง เพราะความหวาดกลัวว่าจะมีผลกระทบเกิดขึ้น
โดยเรื่องนี้หลังประชุมคณะรัฐมนตรีเสร็จ นายกรัฐมนตรี ก็ได้อธิบายประเด็นนี้ซ้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ส่วนตัวไม่เห็นว่าสื่อมวลชนจะมีเสรีภาพน้อยลงอย่างไร
ถ้าจะเอ่ยกว้างๆ ด้วยคำว่า “เสรีภาพ” อาจเป็นข้อเรียกร้องที่อาจจะไม่เป็นรูปธรรม แต่หากย้อนกลับมาดูข้อเสนอขององค์กรสื่อ ซึ่งสามารถสรุปสาระสำคัญหลักๆได้ประมาณ 5 ข้อ ก็พอจะเห็นรายละเอียด ที่อาจส่งผลต่ออนาคตของสื่อและสิทธิการรับข้อมูลข่าวสารของประชาชนอยู่บ้าง
ข้อแรก คือ ความเป็นห่วงต่อการนำเสนอข่าวที่อาจจะมีผลให้รัฐผูกขาดการสื่อสารข้อมูลด้านเดียว โดยการแก้ปัญหาเรื่องนี้ องค์กรสื่อขอให้ยกเลิกคำสั่งและประกาศทุกฉบับ ที่อาจจะส่งผลให้เป็นเช่นนั้น
นอกจากนี้ยังเรียกร้องให้สนับสนุนและปรับปรุงกฎหมายป้องกันการแทรกแซงสื่อจากรัฐ โดยยึดตามหลักการสากล
ส่วนข้อ 3 สำคัญมาก สำหรับการวางรากฐานเสรีภาพในการสื่อสารระยะยาว ซึ่งได้เรียกร้องไปยัง สนช. ที่อยู่ระหว่างพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสถานะของ กสทช. ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลสื่อในอนาคต ว่าจะต้องไม่อยู่ภายใต้การกำกับของรัฐ สถานะจะต้องเป็นองค์กรอิสระ และการคัดสรรบุคคลมาทำหน้าที่ใน กสทช.จะต้องมีความหลากหลายและเข้าใจในหลักการวิชาชีพ ไม่ใช่บุคคลที่เป็นตัวแทนจากฝ่ายรัฐเพียงอย่างเดียว
นอกจากข้อเรียกร้องที่ส่งไปถึงฝ่ายรัฐ องค์กรสื่อก็ยังเสนอต่อองค์กรที่ประกอบธุรกิจสื่อและตัวสื่อมวลชนเอง ว่าจะต้องส่งเสริมและกำกับการทำหน้าที่ให้อยู่ในกรอบจรรยาบรรณ รวมถึงประชาชนผู้รับข้อมูลข่าวสาร ก็จะต้องเข้ามาร่วมตรวจสอบการทำให้หน้าของสื่อต่างๆ ให้อยู่ภายใต้หลักการนี้ด้วย