ที่มานายกรัฐมนตรีตามขั้นตอนปกติในมาตรา 272 ของรัฐธรรมนูญฉบับผ่านลงประชามติ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา หากสภาผู้แทนราษฎร ตกลงกันไม่ได้ว่าจะเลือกใครเป็นนายกรัฐมนตรี ตามบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง กำหนดให้ ส.ส. 250 คน หรือกึ่งหนึ่ง เข้าชื่อขอเปิดประชุมรัฐสภา เพื่อขอเสียง 2 ใน 3 ของ ส.ส. และ ส.ว. ให้สามารถเสนอชื่อบุคคลภายนอกบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง มาเป็นนายกรัฐมนตรีได้ นั่นหมายความว่าคนที่ไม่ได้มีสถานะเป็น ส.ส. จะมานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีได้ ต้องผ่านอย่างน้อย 2 ขั้นตอน คือ ส.ส.ไม่สามารถตกลงกันได้ จนเกิดข้อติดขัด และ ส.ส.ต้องรวมเสียงกันให้ได้อย่างน้อยกึ่งหนึ่ง เพื่อให้ ส.ว.เข้ามามีบทบาท แต่ข้อเสนอของนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่เตรียมเสนอให้ กรธ. พิจารณา คือการลดขั้นตอน การเข้าชื่อ ส.ส.กึ่งหนึ่งขอเปิดประชุมรัฐสภา โดยให้เหตุผลว่า การประชุมวาระแรกเป็นการประชุมร่วมกันของรัฐสภาอยู่แล้ว หลังคำถามพ่วงผ่านประชามติ
หรือหากสรุปให้ง่าย คือ การเลือกนายกรัฐมนตรี ครั้งแรก ส.ส. และ ส.ว. จะเลือกจากบัญชีของพรรคการเมืองเช่นเดิม แต่หากที่ประชุมรัฐสภา ตกลงกันไม่ได้ ก็ให้ใช้เสียง 2 ใน 3 ของที่ประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อเสนอบุคคลนอกบัญชีพรรคเป็นนายกรัฐมนตรีได้เลย โดยไม่ต้องให้ ส.ส. 250 คนเข้าชื่อขอเปิดประชุมรัฐสภาอีก แม้ข้อเสนอของนายสุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ จะเป็นที่พูดถึง และได้รับการยอมรับระดับหนึ่งว่า มีความเสี่ยงต่อการขัดร่างรัฐธรรมฉบับที่ผ่านการลงประชามติน้อยที่สุด แต่ความเห็นส่วนตัวของโฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ อย่างนายอุดม รัฐอมฤต ก็ประเมินว่า ยังมีข้อควรระวัง ในทางปฏิบัติก็อาจถูกโต้แย้งได้ว่า เป็นการกำหนดกติกาที่เกินเลยคำถามพ่วง เนื่องจากกระบวนการทำประชามติ ไมได้ตั้งคำถามว่า ประชาชนเห็นพ้องในการตัดทอนขั้นตอนการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีคนนอกลักษณะนี้หรือไม่