พี่ต๋อย ชุมจิฏ เล่าว่า ตั้งใจอย่างมากที่จะเดินทางไปร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีในวันที่ 22 ต.ค.59 ซึ่งตัดสินใจเดินทางไปแบบไม่นัดเพื่อนๆ โดยลงเรือจากท่าน้ำนนท์ ไปยังท่าเรือท่าช้าง ด้วยการนั่งเรือหางยาวพร้อมกับประชาชนที่มีจิตใจแน่วแน่เหมือนกัน แม้จะไม่รู้จักกัน
“วันนั้นคนเยอะมาก ที่ท่าน้ำนนท์มีคนต่อแถวยาวมากๆ ตอนนั้นคิดว่าทำอย่างไรก็ได้ต้องไปให้ถึงท้องสนามหลวง จึงตัดสินใจนั่งเรือหางยาวไปกับผู้ร่วมทางอีก 10 คน โดยที่ตนก็ไม่รู้จักใคร ไปถึงท้องสนามหลวงเวลาประมาณ 10.00 น. และอยู่ที่นั่นร่วมร้องเพลงตั้งแต่ 11.00 น. ยาวไปจนถึง 22.00 น.”
พี่ต๋อย เล่าว่า จุดที่ยืนร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีอยู่บริเวณหน้าศาลหลักเมือง ซึ่งความตั้งใจตอนนั้นคือมาอยู่ตรงนี้ต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์ เพราะบริเวณที่ยืนมีเครนสำหรับใช้บันทึกภาพมุมสูงด้วย จึงช่วยกันคนไม่ให้เดินผ่าน เวลาผ่านไปสักครู่ท่านมุ้ยเดินออกมาบอกคนที่ยืนอยู่บริเวณนั้นว่าจะแพนกล้องมาถ่ายมุมนี้ด้วย
“ความรู้สึกวันที่ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย ทั้งดีใจที่ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของการร้องเพลงเพื่อพ่อหลวง ปลื้มใจที่ได้มาอยู่ในเหตุการณ์ที่ไม่มีวันลืม และเศร้าใจที่พ่อหลวงไม่อยู่แล้ว แม้แดดจะร้อน ฝนจะตก จะเหนื่อยล้าเพียงไหน แต่ด้วยใจที่ตั้งมั่นว่าจะต้องทำเพื่อพ่อหลวง ทำให้ความเหนื่อยล้าหายไปหมด”
เมื่อเช้าที่ได้เห็นมิวสิกเพลงสรรเสริญพระบารมีครั้งแรกก็แอบคิดว่าใช่เราหรอ? จนน้าชายโทรมาบอกว่าเห็นเราในมิวสิคเพลงสรรเสริญพระบารมี และมีเพื่อนๆ แคปรูปส่งมาให้หน้าวอลล์เฟซบุ๊กอย่างต่อเนื่อง “รู้สึกปลื้มปิติมาก น้ำตาไหล เราจะอยู่ในมิวสิกวิดีโอเพลงนี้ไปตลอดชีวิต”
พี่ต๋อย เล่าทิ้งท้ายว่า นับตั้งแต่วันที่พ่อหลวงสวรรคตกำลังใจที่จะก้าวเดินต่อไปก็หมดสิ้นลง จนได้อ่านคำสอนของพ่อหลวงที่ว่า “ร้องไห้ได้แต่ต้องรู้ว่าหน้าที่ของตัวเองคืออะไร” ทำให้ตนเองสามารถลุกยืนขึ้นมาได้ และได้นำพระราชดำรัสหลายๆ อย่างของพระองค์ท่านมาใช้ในการดำเนินชีวิต
คลิก !!! ชม มิวสิควิดีโอ "เพลงสรรเสริญพระบารมี" เวอร์ชั่นท่านมุ้ย เผยแพร่แล้ว (คลิป HD)
ขอบคุณภาพประกอบจาก มิวสิกวิดีโอเพลงสรรเสริญพระบารมี เวอร์ชั่น มจ.ชาตรีเฉลิม ยุคล