ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติโครงการสินเชื่อรายย่อยเพื่อใช้จ่ายฉุกเฉินตามที่กระทรวงการคลังเสนอ วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท โดยเป็นเงินจากธนาคารออมสิน 5,000 ล้านบาท และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. 5,000 ล้านบาท วงเงินปล่อยกู้รายละไม่เกิน 5 หมื่นบาท เพื่อแก้ไขหนี้นอกระบบ จากเดิมที่เคยมีมาตรการมาก่อนหน้านี้ไปแล้วเมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2559
ทั้งนี้ เป็นการปล่อยกู้ให้กับประชาชนที่ต้องการประกอบอาชีพ และเกษตรกรที่มีความจำเป็นต้องใช้จ่ายเงินฉุกเฉิน โดยธนาคารจะเป็นผู้พิจารณาให้กู้โดยมีสินทรัพย์หรือบุคคลค้ำประกันอย่างน้อย 1 คน ระยะเวลาขอสินเชื่อภายใน 1 ปีนับแต่ ครม.มีมติ คาดว่าจะช่วยเหลือประชาชนได้ประมาณ 2 แสนคน นอกจากนี้ ยังเป็นการให้สินเชื่อกลุ่มลูกค้าที่เสี่ยงผิดนัดชำระหนี้สูง ทำให้ขาดโอกาสในการเข้าถึงเงินกู้ ดังนั้นรัฐบาลจึงมีโครงการนี้ขึ้นเพื่อให้ประชาชนเข้าสู่เงินกู้ในระบบ โดยคิดดอกเบี้ยอัตรา 0.85% ต่อเดือน หรือไม่เกิน 10% ต่อปี
อย่างไรก็ตาม หากการดำเนินโครงการดังกล่าวเกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ไม่เกิน 25% รัฐพร้อมจะชดเชยให้ 100% กรณีมากกว่า 25% รัฐชดเชยให้ 70% กรณีเอ็นพีแอลมากกว่า 37.5% แต่ไม่เกิน 50% รัฐชดเชยให้ 50% หรือประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น ธ.ก.ส. 2,000 ล้านบาท และธนาคารออมสิน 2,000 ล้านบาท
