“หมอมโน” แฉ "วัด" เป็นแหล่งฟอกเงิน ย้ำปัญหาสินบน หยั่งรากลึกสังคมไทย

โดย PPTV Online

เผยแพร่

เมื่อมีการเปิดโปงข้าราชการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติว่ามีการพัวพันการโกงเงินวัดกว่า 60 ล้านบาท และมีการเปิดเผยชื่อบุคคลที่เป็นอดีตเบอร์หนึ่งของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่มีการพัวพันในประเด็นทุจริตเรื่องเงินอุดหนุนวัด ที่มีการเบิกจ่ายเงิยเพื่อนำไปซ่อมแซมวัด แล้วทางวัดก็มีการทอนเงินกับมาที่ข้าราชการบางคน ประเด็นนี้ทำให้วงการพระพุทธศาสนาสั่นสะเทือน และทำให้ต้องย้อนมองว่าต้นตอของเหตุการณ์เหล่านี้ในวงการพระพุทธศาสนานั้นเป็นอย่างไร  

นพ.มโน เลาหวณิช อดีต กมธ.ปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาฯ สปช. เปิดเผยในรายการเป็นเรื่องเป็นข่าวว่า เรื่องราวของการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องของอดีตผอ.สำนักพุทธฯนั้นไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจ เพราะอยู่ในแวดวงพระพุทธศาสนา รวมทั้งได้บวชพรรษาแรกเมื่อ 30 ปีที่แล้ว เจ้าอาวาสในขณะนั้นก็มีการเล่าให้ฟังว่า ต้องมีการขยักเงินไว้ให้เจ้าหน้าที่กรมการศาสนาซึ่งเป็นชื่อเรียกในขณะนั้น ซึ่งเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่ถ่ายทอดจากรมการศาสนามาที่สำนักพุทธฯ และปัญหานี้มีสะสมมายาวนานแล้ว จุดอ่อนคือ ระบบการบริหารการคณะสงฆ์ ที่อำนาจไปกระจุกอยู่ที่ “เจ้าอาวาส” องค์เดียวเจ้าอาวาสจะเปรียบเสมือนพระราชาในอาณาจักรเล็กๆของตัวเอง มีสิทธิ์อำนาจเด็ดขาดในวัด รวมถึงการตั้งไวยาวัจกร ก็ตั้งเป็นคนของท่านที่สามารถรู้เห็นเป็นใจได้ ส่วนตัวไม่ได้หมายถึงว่าพระทั้งประเทศไม่ดี แต่ระบบเป็นแบบนี้ ก็จะมีการตั้งพรรคพวกของตัวเองขึ้นมา ถ้าวัดไหนได้เจ้าอาวาสที่เคร่งครัด โปร่งใส แบบนี้มีประมาณ 10 เปอร์เซนต์ในเจ้าอาวาสประเทศไทย ที่เหลือก็ทำตามอำเภอใจ

“ระบบอุปถัมภ์ในสังคมไทยมันชัดเจน เขาก็จะเลือกวัดที่คุยกันรู้เรื่อง เช่น ผมก็มาช่วยหลวงพ่อแบบนี้ หลวงพ่อก็มาช่วยผมด้วย การขออนุญาตการสร้างโบสถ์ วิหารนั้น วัดได้รับการยกเว้น วัดจะสร้างอะไรไม่ต้องไปรายงาน ยกเว้นเป็นโบราณสถาน โบราณวัตถุแบบนี้ต้องรายงาน บางวัดสมภารก็ใช้อำนาจตัวเองโดยที่ไม่รู้ขอบเขต ซึ่ง พ.ร.บ.สงฆ์ หรือ การอบรมต่างๆ ก็ไม่ได้มีการสอนวิธีการจัดการที่เพียงพอ เราก็ละเลยเกี่ยวกับการรับเงินจนกลายเป็นนิสัย และระบบราชการก็มีความอ่อนแอเพราะต้องทำโดยการตั้งงบประจำปี ว่าใครจะได้งบแค่ไหนก็ขึ้นกับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ โดยที่ไปหาคนคุ้นเคย ซึ่งการอุดหนุนไม่ได้อุดหนุนตามความจำเป็น และเจ้าหน้าที่ฯเป็นคนติดต่อไป จะอุดหนุนวัดท่าน แต่ท่านต้องทอนกลับ เมื่อตกลงกันแล้วแล้วคิดว่าเป็นเงินที่เข้ามาเปล่า แต่มันเป็นภาษีราษฎร ซึ่งการเอาเงินภาษีราษฎรมาอุดหนุนวัดต่างๆผมคิดว่าไม่เหมาะ”


นพ.มโน บอกต่อว่า สำหรับหลักเกณฑ์การอุดหนุนส่วนใหญ่นั้นจะอาศัยการรู้จักคุ้นเคย ซึ่งระบบต่างๆไม่มีความโปร่งใส ส่วนคนที่มาช่วยงานวัดเป็นคนจะมาช่วยถ่วงดุลก็คือ ไวยาวัจกร แต่อำนาจการแต่งตั้งมาจากเจ้าอาวาส ก็แต่งตั้งคนที่ตัวเองสั่งได้ สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นสิ่งที่ต้องแก้ไขและเป็นโอกาสที่เราต้องปฏิรูปโดยเร็ว ต้องยอมรับว่าทั้งสองส่วนคือ พระก็มีเอี่ยว เจ้าหน้าที่ก็มีเอี่ยว จะบอกว่าใครผิดใครถูกก็ไม่ได้ นี่คือทฤษฎีสบคบคิด การแก้ปัญหานี้นั้นต้องแก้ทั้งสองจุดสำนักพุทธฯ ควรกำกับดูแลพัฒนาคณะสงฆ์ ส่วนคนปฏิบัติคือพระสงฆ์ บรรพชิต ต้องช่วยกันไม่ให้อำนาจอยู่ในมือเจ้าอาวาสคนเดียว ที่ไม่มีการเกษียณอายุ เมื่อแก่ไปมีปัญหาเรื่องสุขภาพก็จะมีคนมาครอบงำเจ้าอาวาส นี่คือการกระจายอำนาจ และให้ชุมชนมีส่วนร่วม เรื่องนี้เป็นปัญหาที่รากลึกมานาน แต่ต้องจัดการ ไม่งั้นชาวพุทธจะเสื่อมศรัทธามากไปกว่านี้


“สมมติทำบุญ 1 ล้านแล้วบอกขอให้เจ้าอาวาสออกใบอนุโมทนาบัตรให้ 2 ล้านได้ไหม ผมเชื่อว่าเจ้าอาวาสจำนวนมากยอม เมื่อถามว่ามีการตรวจสอบใบอนุโมทนาบัตรของวัดต่างๆไหม ปกติมีคนมาหักภาษี 5 หมื่นล้านต่อปี แล้วมีการตรวจสอบไหม เมื่อใบอนุโมทนาบัตรสามารถนำไปลดภาษีได้ ก็ทำให้วัดกลายเป็นแหล่งฟอกเงิน เป็นสถาบันที่ปกครองโดยเจ้าอาวาส”


ขณะที่ พระมหาไพรวัลย์ พระนักคิดนักเขียน วัดสร้อยทอง กล่าวว่า ปัญหานี้หากเป็นคนที่ไม่ได้อยู่ในวงการ หรือเคยบวชเรียนนานก็จะไม่ค่อยทราบแต่คนในแวดวงคณะสงฆ์นั้นจะรู้ดี เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพระที่เกี่ยวกับองค์กรที่บริหารจัดการพระพุทธศาสนา กรณีที่มีคนตั้งข้อสังเกตว่าพระจะรู้เห็นเป็นใจกับสำนักพุทธฯในการเบิกเงินออกมาด้วยหรือไม่นั้น ส่วนหนึ่งวัดก็คิดว่าเขาได้ผลประโยชน์เมื่ออยู่ดีๆ มีเงินมาให้ซ่อมแซมวัด บริหารจัดการวัด เป็นเงินซึ่งได้มาเปล่า วัดไม่มีเงินอุดหนุน ไม่มีเงินบริจาค ซึ่งเป็นเงินที่พระคิดว่าควรจะได้รับ ก็คิดว่าได้เท่าไหร่ก็เอา ดีกว่าไม่ได้ ไม่ได้เป็นวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ดึงคนมาทำบุญเมื่อมีเงินมาให้เขาก็ต้องเอา โดยการจะทุจริตนั้นอาจจะมาจากต้นทาง แต่ส่วนของวัดก็ต้องมีส่วนรู้เห็นด้วยหรือมีความคุ้นเคยกับเจ้าหน้าที่ฯ ต้องมีการคุยกันรู้กัน ถ้าเป็นบางวัดที่เขามีหลักธรรมาภิบาล มีคุณธรรม มีหิริโอตัปปะมากพอ เมื่อทราบก็คงจะมีการปฏิเสธไม่รับเงินจากเจ้าหน้าที่ฯ ในกรณีที่ทราบว่าได้เงินมาเท่านี้แล้วต้องมีการทำงบประมาณเท่านี้
 

“หากจะแก้ปัญหานี้ควรจะแก้ที่พระราชบัญญัติต้องพูดถึงการใช้อำนาจของเจ้าอาวาสให้ชัดเจน อำนาจหน้าที่ของเจ้าอาวาสมันคุมถึงเรื่องของเงิน ปัจจัยด้วยหรือไม่ หรือปัญหาไวยาวัจกร ที่ไม่ควรให้เจ้าอาวาสเป็นคนตั้ง ควรให้คนในชุมชนช่วยสรรหาไวยาวัจกรเพื่อเป็นการถ่วงดุลอำนาจด้วย ทุกวันนี้เวลาเรามองปัญหาสังคมไทย ก็จะมองปัญหาแบบตัวบุคคล มีเรื่องทีก็มองที ถ้ามีปัญหาวัดนี้ก็แก้วัดนี้ มองเจ้าอาวาสวัดนี้ ถามว่าวัดอื่นมีปัญหาไหมก็ต้องยอมรับว่ามีแต่อาจจะไม่ได้เป็นเรื่องเป็นข่าวเท่านั้น ก็ตามแก้เป็นเรื่องๆ แต่ปัญหาก็ไม่ได้ถูกแก้จริงๆ” พระมหาไพรวัลย์ กล่าว

 

 

 

 

 

Bottom-PL-HLW Bottom-PL-HLW

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

PPTVHD36

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ