นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม.อนุมัติการนำเงินจากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจาก บุหรี่ สุรา และเบียร์ หรือ ภาษีบาป เพื่อนำมาช่วยเหลือเข้ากองทุนผู้สูงอายุให้มีรายได้เพียงพอต่อการดำเนินงาน รองรับสังคมผู้สูงอายุที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีรายได้น้อย ซึ่งจากการสำรวจปีที่ผ่านมาพบว่ามีประมาณ 2.3 ล้านคน และปีนี้คาดว่าจะเพิ่มเป็น 3.5 ล้านคน โดยได้รับในอัตรา 2% ต่อปี แต่กำหนดเพดานสูงสุดไม่เกินปีละ 4,000 ล้านบาท
สำหรับภาครัฐมีรายได้จากภาษีบาปเฉลี่ยปีละประมาณ 213,000 ล้านบาท โดยจัดเก็บงบประมาณ 59 แบ่งเป็น ภาษียาสูบ 65,000 ล้านบาท, ภาษีสุรา 62,000 ล้านบาท และภาษีเบียร์ 86,000 ล้านบาท และปัจจุบันกรมสรรพสามิตได้มอบเงินอุดหนุนให้แก่ 3 หน่วยงานประกอบด้วย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ปีละ 2% ของภาษีบาป องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย หรือ TPBS 1.5% โดยกำหนดเพดานไม่เกิน 2,000 ล้านบาท และกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติได้รับเงินจากภาษีบาปปีละ 2% แต่ไม่เกิน 2,000 ล้านบาท ส่งผลให้หลังจากนี้กรมสรรพสามิตจะต้องจัดสรรเงินจากภาษีบาปดังกล่าวรวมทั้งสิ้น 7.5% ต่อปี
ทั้งนี้ ผู้สูงอายุที่ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีรายได้น้อย ครม.จึงเห็นชอบการนำเงินจากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตจาก บุหรี่ สุรา และเบียร์ หรือ ภาษีบาป เพื่อนำมาช่วยเหลือ และจะมีการเปิดทางให้ผู้สูงอายุที่มีรายได้ โดยยอมรับว่า ผู้ประกอบการจะผลักภาระไปยังผู้บริโภคบ้าง แต่การเก็บภาษีนั้นยังไม่มีผล เนื่องจากต้องเข้าสู่การพิจารณาของสำนักงานกฤษฎีกาและสภานิติบัญญัติแห่งชาติ คาดว่ากฎหมายดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ในต้นปี 2561
นอกจากนี้ กระทรวงการคลัง เตรียมหามาตรการจูงใจเพื่อให้ผู้สูงอายุที่มีฐานะ บริจาคเงินเข้ากองทุนดังกล่าวแบบสมัครใจด้วย โดยคาดว่าจะมีเงินเพิ่มเข้ากองทุนดังกล่าวอีก 4,000 ล้านบาท และเมื่อการจัดสรรเงินดังกล่าวเพิ่มขึ้น จะทำให้ผู้สูงอายุได้รับเงินช่วยเหลือเพิ่มเป็นรายละ 1,200-1,500 บาท
ปัจจุบันผู้สูงอายุได้รับเบี้ยแบบขั้นบันได ดังนี้ อายุ 60 -69 ปี จะได้รับ 600 บาท, อายุ 70 -79 ปี จะได้รับ 700 บาท, อายุ 80 -89 ปี จะได้รับ 800 บาท และอายุ 90 ปีขึ้นไป จะได้รับ 1,000 บาท