ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม้ที่ผ่านมาจะมีความผิดปรากฎตามข้อเท็จจริงว่า พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ อนุฤทธิ์ เป็นคนขับรถโตโยต้า คัมรี พานางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลบหนีจริง แต่ พล.ต.ต.ภาณุรัตน์ หลักบุญ ในฐานะประธานคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง ระบุว่า ยังต้องรอพยานหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ รวมถึงคำชี้แจงของพันตำรวจเอกชัยฤทธิ์ เพื่อประกอบสำนวนที่คืบหน้าไปแล้วถึง 90 % โดยความผิดทางอาญาจะส่งผลต่อความผิดทางวินัยด้วย ซึ่งโทษสูงสุดคือให้ออกจากราชการ
โดยมีรายงานว่า การเอาผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157 หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ อาจใช้ไม่ได้กับกรณีของ พ.ต.อ.ชัยฤทธิ์ เพราะในอดีตศาลฎีกา เคยมีคำพิพากษากรณีตำรวจรายหนึ่งไปเล่นการพนันที่บ่อนและถูกแจ้งข้อหามาตรา157 เพราะไม่จับบ่อนการพนัน ศาลพิพากษายกฟ้องโดยตีความว่าตำรวจคนดังกล่าวไม่ได้รับมอบหมายให้ไปจับกุม เช่นเดียวกับพันตำรวจเอกชัยฤทธิ์ ที่แม้รู้ว่านางสาวยิ่งลักษณ์เป็นผู้ทำผิดกฎหมาย แต่ไม่ได้รับมอบหมายให้จับกุมอาจจะถูกพิพากษาในลักษณะเดียวกัน ดังนั้นอาจต้องใช้ช่องทางอื่น เช่น ฐานความผิดตาม กฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 123 / 1 เช่นเดียวกับที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ถูกเอาผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตมาใช้แทน แต่ต้องรอความชัดเจนจากที่ประชุม
ทั้งนี้ มาตรา 123/1 ตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต บัญญัติไว้ว่า กรณีที่เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต มีอัตราโทษสูงสุด คือ การจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับสูงสุด 400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนมาตรา 157 ตามประมวลกฎหมายอาญา ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติ หน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาทหรือ ทั้งจำทั้งปรั
