วันนี้ (10 ต.ค. 60) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบแนวทางการระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่คงเหลือจากโครงการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2551/52 ทั้ง 10 คลัง คิดเป็นปริมาณ 9.4 หมื่นตัน และมีค่าเก็บรักษาถึงเดือนละ 7 ล้านบาท โดยให้ดำเนินตามกรอบเดิมตามมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์( นบขพ.) ตั้งแต่ปี 2555
สำหรับโครงการแทรกแซงตลาดข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 2551/52 มีปริมาณทั้งหมด 1 ล้านตัน ได้ดำเนินการระบายข้าวโพดไปแล้ว 9.07 แสนตัน ทำให้มีปริมาณคงเหลือ 9.4 หมื่นตัน แต่ปรากฎว่ามีปัญหาดำเนินการด้านคดี ผู้ชนะประมูลไม่สามารถดำเนินการได้ โดยปัจจุบันได้มีการยุติด้านคดีแล้ว 8.4 หมื่นตัน และยังติดด้านคดีอีก 1 หมื่นตันที่ยังไม่สามารถระบายได้
พ.ต.อ.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมายและคดี องค์การคลังสินค้า(อคส.) กล่าวว่า ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบและวิเคราะห์คุณภาพข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในสต็อกของรัฐบาล โดยมี อคส.เป็นประธาน ร่วมด้วยกรมการค้าภายในและกรมการค้าต่างประเทศ จากกระทรวงพาณิชย์ ตรวจสอบสภาพข้าวโพดเลี้ยงสัตว์คงเหลือในคลังสินค้า 10 แห่ง และมีบริษัทตรวจสอบคุณภาพ(เซอร์เวย์)ร่วมตรวจสอบ ซึ่งผลวิเคราะห์ทั้ง 10 แห่ง ไม่เป็นไปตามมาตรฐานสินค้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่กฎหมายกำหนด โดยมีเมล็ดดำเสีย 15-67%
นอกจากนี้ ยังมีคณะกรรมการตรวจสอบความเสียหาย กับผู้ที่กระทำให้ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่อยู่ในสต็อกคงค้างในรัฐบาลเกิดความเสียหาย โดยจะแบ่งเป็น 2 กรณี คือ กรณีหากความเสียหายเกิดจากเสื่อมตามสภาพของข้าวโพดเองให้พับไป ไม่ต้องมีผู้รับผิดชอบ แต่หากเกิดจากการไม่บำรุงรักษา ความประมาท เลินเล่อ ความจงใจทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของรัฐ อคส.จะเรียกร้องค่าเสียหายจากบุคคลที่เกี่ยวข้อง เช่น โกดัง จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้
“อคส.ต้องระบายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์คงเหลือในการดูแลของรัฐบาล 8.4 หมื่นล้านตัน ที่อยู่ในเงื่อนไขสามารถระบายได้ก่อน ซึ่งเป็นข้าวโพดที่ยุติด้านคดีความทางกฎหมายแล้ว ส่วนการฟ้องร้องที่ดำเนินคดีอยู่อีก 1 หมื่นตัน ยังระบายไม่ได้ รอศาลปกครองมีคำพิพากษาในเร็วๆนี้ก่อน จึงจะนำออกมาระบายได้ทั้งหมด”
อย่างไรก็ตาม อคส.จะต้องกำหนดแนวทางโดยมีคณะกรรมการกลางเป็นผู้กำหนดราคากลางตามสภาพและความเสื่อมสภาพของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ซึ่งจำเปนต้องปรับใหม่เพราะของเดิม กำหนดไว้ตั้งแต่ปี 2551/52 ให้มีราคากลางไว้ที่ 8.5 บาทต่อกิโลกรัม