เมื่อคืนวานนี้ ประธานาธิบดีฮัสซัน รูฮานี ของอิหร่าน ได้ออกมาแถลงเป็นครั้งแรก หลังจากเกิดการประท้วงครั้งที่ใหญ่ที่สุดในรอบ 8 ปี โดยผู้นำอิหร่านกล่าวว่า ตนตระหนักถึงความไม่พอใจของประชาชนที่มีต่อสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน และปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น แต่ในขณะเดียวกันก็ย้ำว่า การแสดงออกเพื่อวิพากษ์วิจารณ์นั้นต่างจากการใช้ความรุนแรงและทำลายทรัพย์สินสาธารณะอย่างสิ้นเชิง ซึ่งรัฐบาลจะไม่อดทนต่อผู้ที่ก่อเหตุวุ่นวายและทำผิดกฎหมาย
นอกจากนี้ ประธานาธิบดีรูฮานี ยังได้ตอบโต้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่า ผู้นำสหรัฐฯ ซึ่งมองอิหร่านเป็นศัตรูมาตลอด ไม่มีสิทธิที่จะแสดงความเข้าอกเข้าใจชาวอิหร่าน นอกจากนี้ สุภาพบุรุษท่านนี้ดูเหมือนจะลืมไปว่าตัวเองเคยกล่าวหาอิหร่านว่าเป็นประเทศที่อุปถัมภ์ก่อการร้าย
โดยทวีตที่ทรัมป์โพสต์ก่อนหน้านี้ ระบุว่า “ในที่สุด ชาวอิหร่านก็เริ่มคิดได้เสียทีว่าเงินและความมั่งคั่งของพวกเขาถูกขโมยและถูกผลาญไปกับการสนับสนุนก่อการร้าย”
ทั้งนี้ แม้ว่าประธานาธิบดีรูฮานีจะออกมาเรียกร้องให้ประชาชนชุมนุมอย่างสงบ พร้อมรับปากว่าจะเปิดพื้นที่ในการวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้น แต่ผู้ชุมนุมก็ยังคงออกมาประท้วงกันอย่างต่อเนื่องตลอดคืนที่ผ่านมา
เหตุชุมนุมประท้วงทั่วประเทศครั้งนี้ เริ่มขึ้นตั้งแต่วันพฤหัสที่ผ่านมา เนื่องจากประชาชนไม่พอใจสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่และค่าครองชีพที่สูงขึ้น ซึ่งในหลายพื้นที่ก็ลามไปถึงประเด็นการเมือง เช่น นโยบายแทรกแซงต่างประเทศ รวมถึงความไม่พอใจในตัวประธานาธิบดีรูฮานี และผู้นำสูงสุด อญาโตลลอฮ์ อะลี คาเมเนอี ด้วย
ที่ผ่านมา มีรายงานการปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ประท้วงและเจ้าหน้าที่ในหลายๆ เมือง ขณะที่ทางการอิหร่านเองก็ได้จำกัดการใช้สื่อสังคมออนไลน์ชั่วคราวเพื่อสกัดการนัดชุมนุมและรักษาความสงบเรียบร้อย ทั้งนี้ ตั้งแต่วันพฤหัสที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตจากเหตุประท้วงครั้งนี้แล้ว 12 คน