สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ในช่วงใกล้เทศกาลตรุษจีน บรรดาบริษัทที่ให้บริการด้านอินเทอร์เน็ตต่างๆในจีน จัดกลยุทธ์การแจก “อั่งเปาดิจิทัล” หรือ “เงินรับขวัญปีใหม่ในซองสีแดง” ให้กับลูกค้า ซึ่งเพิ่งมีขึ้นในจีนเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา จากแนวคิดของบรรดาบริษัทอินเทอร์เน็ตที่ต้องการดึงดูดลูกค้า และแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดในช่วงเทศกาลตรุษจีน ซึ่งเป็นเทศกาลที่สำคัญที่สุดของประเทศ
โดยอั่งเปาดิจิทัลที่ลูกค้าได้รับนั้น สามารถนำไปส่งต่อเป็นของขวัญให้แก่กันในโลกโซเชียลได้ ซึ่งในปีนี้ ดูเหมือนว่าบริษัทยักษ์ใหญ่จะแข่งกันมอบอั่งเปาดิจิทัล ดุเดือดกว่าปีก่อนๆ อาทิ บริษัท ‘เทนเซ็นต์’ บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอินเทอร์เน็ตในจีน ที่ทุ่มงบเตรียมมอบอั่งเปามูลค่า 200 ล้านหยวน หรือราว 1 พันล้านบาท ส่วนบริษัทคู่แข่งอย่าง ‘อาลีบาบา’ ขอท้าชนด้วยงบถึง 500 ล้านหยวน หรือประมาณ 2,500 พันล้านบาท ซึ่งแนวคิดอั่งเปาดิจิทัลนี้ ได้รับความสนใจจากลูกค้าชาวจีนไม่น้อย มีรายงานคนมาร่วมกิจกรรมลุ้นอั่งเปาออนไลน์เป็นจำนวนมาก
ขณะที่อีกหนึ่งเรื่องของเทศกาลตรุษจีน ทางการจีนออกคำสั่งห้ามจุดพลุและดอกไม้ไฟ ใน 444 เมืองทั่วประเทศจีน รวมทั้งกรุงปักกิ่ง เมืองหลวงของประเทศ ตามมาตราการควบคุมมลพิษ หลังทางการวัดค่าหมอกควันในเดือนมกราคมที่ผ่านมาสูงขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำแยงซี
คำสั่งห้ามดังกล่าว ทำให้ยอดจำหน่ายพลุในเมืองใหญ่ลดลง รวมกับ สาเหตุที่คนในเมืองรุ่นใหม่เริ่มมองว่าดอกไม้ไฟเป็นของโบราณ และเป็นของอันตรายที่ไม่ควรปล่อยให้เด็กๆ เล่น
ทำให้ธุรกิจผลิตพลุและประทัดในประเทศกำลังได้รับผลกระทบหนัก โดยเฉพาะโรงงานผลิตพลุและดอกไม้ในเมืองหลิวหยาง (Liuyang) ซึ่งเป็นเมืองผลิตพลุและดอกไม้ไฟหลักของประเทศ นับตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถังเมื่อ 1,400 ก่อน จนถึงปัจจุบัน คิดเป็น 2 ใน 3 ของดอกไม้ไฟในประเทศจีนทั้งหมด
แต่ข้อมูลจากสำนักงานพลุและดอกไม้แห่งชาติจีนระบุว่า ปัจจุบันมีโรงงานพลุและดอกไม้ในเมืองหลิวหยางปิดตัวไปเกือบครึ่งหนึ่งในปีที่ผ่านมา เหลือเพียง 558 แห่ง จาก 946 แห่ง ในปี 2015
อย่างไรก็ตาม พลุและดอกไม้ไฟยังคงเป็นที่นิยมในชนบทและเมืองเล็กๆ ที่พวกเขามักใช้จุดในโอกาสต่างๆ เช่น งานศพ งานแต่งงาน และงานเฉลิมฉลองอื่นๆ ประเทศจีนยังเป็นผู้ส่งออกดอกไม้ไฟและพลุรายใหญ่ที่สุดในโลก คิดเป็นมูลค่าราว 681 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ