วันที่ 6 มี.ค. 58 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะนี้มีการเผยแพร่ข้อความ "ใช้น้ำยาบ้วนปากรักษาเหา" แพร่หลายในโซเชียลเน็ตเวิร์ก จาผู้จำหน่ายสมุนไพรธรรมชาติเพื่อรักษาปัญหาผมรายหนึ่ง ซึ่งเนื้อความระบุว่า น้ำยาบ้วนปาก นอกจากจะกำจัดกลิ่นปากและฆ่าเชื้อโรคได้นั้น ยังสามารถรักษาอาการเป็นเหาในบุคคลได้ เพียงแค่ใช้น้ำยาบ้วนปากแทนแชมพูสระผม นวดให้ทั่วหนังศีรษะทิ้งไว้ 30 นาที แล้วล้างน้ำออก นอกจากนี้ ยังอ้างด้วยว่าสามารถใช้ได้ทั้งกับผู้ใหญ่และเด็ก โดยไม่ก่อให้เกิดอันตราย
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด น้ำยาบ้วนปากไม่มีประสิทธิภาพรักษาโรคเหา ควรใช้ยารักษาเฉพาะทาง เช่น Gamma benzene hexachloride (1% Lindane) แชมพู Malathion หรือ Benzyl Benzoate (12.5 - 25%) และสางด้วยหวีซี่ถี่เพื่อกำจัดเหาเท่านั้น
"แต่การนำน้ำยากบ้วนปากไปสระผมแทนแชมพูไม่มีอันตราย เพราะหากเทียบแล้วเนื้อเยื่อในช่องปากมีความทนทานน้อยกว่าหนังศีรษะ จึงไม่น่าเกิดความระคายเคืองใด ๆ ยกเว้นผู้ที่มีบาดแผลที่หนังศีรษะ อาจเกิดอาการแสบคันได้" รองอธิบดี กรมควบคุมโรค กล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มว่า ผลการสำรวจของ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบว่า ปัจจุบันเด็กนักเรียนไทยยังเป็นเหากันมากถึง 48.8% ซึ่งนักเรียนบางคนมีเหาอยู่บนศีรษะสูงถึง 2,000 กว่าตัว ทั้งนี้ ช่วงอายุที่เด็กที่เป็นอยู่ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 2-5 หรืออายุราว 7-11 ปี
"โรคเหา" เกิดจากปรสิตชื่อ "Pediculus humanus" ซึ่งมีการติดเชื้อจำเพาะเจาะจงในมนุษย์เท่านั้น จะอาศัยอยู่บนหนังศีรษะ เส้นผม ส่วนใหญ่จะพบบริเวณท้ายทอย หลังหูและขมับ แต่ก็พบได้ทั้งศีรษะ และคอยดูดเลือดกินเป็นอาหาร
น้ำลายของเหายังทำให้เกิดอาการคัน แผลที่เกิดจากการเกาอาจติดเชื้อแบคทีเรียได้ ยังทำให้ต่อมน้ำเหลืองข้างคอและท้ายทอยโต ทั้งนี้ สามารถหลีกเลี่ยงและควบคุมไม่ให้โรคเหาแพร่กระจายในวงกว้าง โดยการไม่ใช้สิ่งของที่สัมผัสกับศีรษะร่วมกัน
ภาพประกอบ : www.thaimuslim.com