เริ่มที่ ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส ได้ต่อสายพูดคุยกับ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ โดยระบุว่าการประกาศตั้งกำแพงภาษีเหล็ก และ อะลูมิเนียม ที่นำเข้าจากสหภาพยุโรป แคนาดา และ เม็กซิโก ในอัตรา 25 เปอร์เซ็นต์ และ ในอัตรา 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย ซึ่งสหภาพยุโรปจะทำการตอบโต้ในระดับที่เหมาะสม
ขณะที่ นาย ฌอง-โคลด ยุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป กล่าวว่า การตัดสินใจของสหรัฐฯ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ และ สหรัฐฯ จะยื่นเรื่องต่อองค์การการค้าโลกให้พิจารณาการกระทำของสหรัฐฯ
ส่วนนายกรัฐมนตรี จัสติน ทรูโดต์ ผู้นำแคนาดา เปิดเผยว่าแคนาดา จะตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ เป็นมูลค่า 12,800 ล้านดอลลาร์ หรือ 4 แสนล้านบาท
ขณะที่ เม็กซิโกได้เริ่มใช้มาตรการตอบโต้สหรัฐฯแล้ว โดยได้เก็บภาษีภาษีนำเข้าขาหมู แอปเปิ้ล องุ่น ชีส และ เหล็กจากพื้นที่ทางแถบมิดเวสต์ของสหรัฐฯ โดย อิลเดฟองโซ กัวฆาโด รัฐมนตรีเศรษฐกิจเม็กซิโก เปิดเผยว่ากำแพงภาษีของสหรัฐฯ จะส่งผลให้มูลค่าการค้าระหว่าง 2 ประเทศหายไป 4 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.3 แสนล้านบาท
การตัดสินใจตั้งกำแพงภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมของสหรัฐฯ ครั้งนี้ ถูกมองว่าจะทำให้สหรัฐฯ ต้องเข้าสู่สงครามการค้าหลายด้าน เพราะนอกจากประเทศเหล่านี้แล้ว สหรัฐฯ ก็เพิ่งเล่นงานจีนด้วยวิธีเดียวกัน โดยในส่วนของจีนประธานาธิบดีทรัมป์บอกว่าจำเป็นต้องทำ เพื่อลงโทษจีนที่มีการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญามากมาย