วันนี้(1 ก.ค.61) นายดำรงค์ พิเดช อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวว่า อุปสรรคที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถทำงานได้ เพราะฉะนั้นจะต้องดูว่าน้ำที่เข้ามาในบริเวณถ้ำ เข้ามาจากตรงไหน เพราะน้ำน่าจะไม่ได้เกิดจากน้ำในถ้ำ แต่น้ำจากด้านนอกถ้ำไหลเข้ามา เพราะข้อมูลจากที่หน่วยซีลให้ข้อมูลว่าในช่วงแรกคือน้ำสีขุ่น เป็นน้ำที่เกิดจากการทำเกษตรกรรม ช่วงแรกคือ ขุ่นคลัก ใบไม้เศษไม้ไหลเข้ามา การไหลของน้ำก็มี 2 ทาง คือ อาจจะมาจากลำน้ำแม่สายฝั่งพม่า และ 2. อาจจะมาจากทางด้านทิศตะวันตก ลำห้วยผาฮี้ และผาหมี ซึ่งขณะนี้ลำน้ำแม่สายยังแดงอยู่ แต่น้ำในถ้ำมีสีออกนวลขุ่นขาวแล้ว จึงสามารถตัดข้อนี้ออกได้ ฉะนั้นน้ำ น่าเกิดจากลำน้ำผาฮี้ ซึ่งหลังดอยตุงจะมีต้นน้ำ ลำน้ำข้าง ที่ไหลลำห้วยสาขาไปผาฮี้ ผาหมี ซึ่งสีของน้ำที่บ้านผาหมีเป็นสีเดียวกับน้ำในถ้ำ
โดยจากข้อมูลเดิมที่คาดว่าจะพบตาน้ำ 1 จุดหนึ่งด้านผาหมี อาจจะไม่ใช่จุดที่เป็นตาน้ำที่เป็นแหล่งของน้ำที่ไหลไปในถ้ำแล้ว เนื่องจากการสอบถามนายประเสริฐ ภาคภูมิ หัวหน้าหน่วยไฟป่าดอยตุง เพราะได้ทดสอบใส่ใบไม้ลงไป ปรากฎว่าน้ำไหลไปอีกทางหนึ่ง แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังคงค้นหาต่อ เพราะว่าลักษณะของน้ำไม่ได้ไหลอยู่กลางอากาศ แต่มีลักษณะดป็นขอบน้ำที่ไหลเข้าไป มีหญ้าปกคลุม หรืออาจจะมีรอยแตกก็มีความเป้นไปได้ ซึ่งทางหน่วยดับไฟป่าประมาณ 200 นาย ก็จะเลาะเอาไม้เขี่ยดูตามพื้น หรือในจุดต่างๆไปเรื่อยจนกว่าจะเจอ
ขณะที่ในส่วนของแผนที่ที่แสดงให้เห็นว่า บริเวณหาดพัทยาสูงกว่าทางต้นน้ำ ตรงจุดนี้ แท้จริงแล้ว แผนที่นั้นแสดงความคดเคี้ยวของถ้ำ มองดูเหมือนจะอยุ่สูงแต่จริงๆอยู่ใต้ดิน พื้นที่บริเวณพัทยาบีชต้องต่ำลง เพราะน้ำไหลมาได้ ไม่มีน้ำไหลจากต่ำขึ้นที่สูง และยังตั้งข้อสังเกตว่า การที่น้ำไหลมาจากด้านต้นน้ำฝั่งผาหมี แสดงว่า บริเวณเหนือ หาดพัทยาไปอาจจะต้องมีโพรงที่น้ำไหลออกไปได้