ราชวิทยาลัยจิตแพทย์ ได้แนะนำ สิ่งที่ควรปฏิบัติและสิ่งที่ไม่ควรปฏิบัติ กับคน 5 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มสื่อมวลชน ควร เน้นนำเสนอข่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ควรตีความหรือใช้ความคิดเห็นส่วนตัว , นำเสนอเรื่องราวที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม, ควรให้เวลาผู้ประสบภัยและครอบครัวพร้อมที่จะให้ข้อมูลก่อน และควรเคารพพื้นที่ความเป็นส่วนตัวของเด็กและครอบครัว ส่วนสิ่งที่ไม่ควรทำ คือ นำเสนอมุ่งเน้นข่าวดราม่า หรือนำเสนอข้อมูลที่เป็นพื้นที่ส่วนตัวของกลุ่มผู้ประสบภัย รวมถึงเจ้าหน้าที่ทุกคน
สำหรับผู้ประสบภัย เด็กและโค้ช ควรได้รับการบอกกล่าวถึงเหตุการณ์ภายนอกก่อน เป็นข้อมูลที่เป็นจริงก่อนออกจากถ้ำ ระวังการเล่าทางอารมณ์ที่เป็นทางบวก หรือทางลบ , เมื่อออกมาได้แล้วควรฟื้นฟูร่างกาย และกลับไปสู่การดำเนินชีวิตปกติ รวมทั้งควรหลีกเลี่ยงการดูข่าวหรือสื่อโซเซียลทั้งทางบวกและทางลบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และ ไม่ควรให้เด็กกับโค้ชต้องพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ เพราะเป็นอันตรายต่อการพัฒนาเติบโตของเด็ก
สำหรับครอบครัว ควรมีเวลาพักผ่อน ได้รับการบอกกล่าวถึงสุขภาพเด็กเป็นระยะๆ ,ควรมีแหล่งให้คำปรึกษาในการดูแลสุขภาพกายและใจ ของเด็ก โค้ช และครอบครัว
ในส่วนของโรงเรียนและชุมชน ควรมีพื้นที่ส่วนตัวให้เด็กและครอบครัว ,การปลอบขวัญทำได้ แต่ควรระวังไม่ให้เป็นการให้รางวัล เพราะจะทำให้เด็กได้รับความสับสน ,การให้ผู้ประสบภัยบอกเล่าประสบการณ์ ควรเป็นแบบการเรียนรู้ และควรให้อภัยจากการกระทำที่เกิดขึ้น ,ไม่ควรให้เด็กเล่าเรื่องที่ประสบการณ์ซ้ำๆ ,ไม่ควรพูดซ้ำเติม ให้เป็นตราบาป หรือบังคับให้ต้องรู้สึกสำนึกบุญคุณ เนื่องจากผู้ประสบภัยเองก็มีความรู้สึกผิดในใจอยู่แล้ว
สำหรับ สังคม สิ่งที่ควรทำคือ ติดตามข่าวสารอย่างพอดี ติดตามข่าวสารจากสำนักข่าวที่มีความน่าเชื่อถือ ,ควรดูแลจิตใจตนเองขณะเสพข่าวสาร ไม่ให้จิตใจหวั่นไหวจนเกินพอดี,ไม่ควรเชื่อข่าวที่แชร์ในโซเซียลหรือไลน์ ที่สำคัญคือ ไม่ควรมีการตั้งประเด็น ไล่หาผู้รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ เพราะทีมหมูป่าคือผู้ประสบภัย ไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เจ้าหน้าที่และอาสาสมัครทุกคนล้วนเข้าไปด้วยความตั้งใจดี
เราสามารถเรียนรู้ เรื่องการสอนและการเตรียมตัวให้เด็กสามารถดูแลช่วยเหลือตนเองได้เบื้องต้นเมื่อประสบเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน การอยู่ร่วมกันเป็นทีม การทำงานเป็นทีม ซึ่งเป็นอีกปัจจัยความสำเร็จที่สามารถเรียนรู้ได้จากเหตุการณ์นี้