เปิดกรุ "อุปกรณ์-เทคโนโลยี" ช่วย 13 ชีวิตติดถ้ำหลวง

โดย PPTV Online

เผยแพร่

ปรากฏการ์ช่วยเหลือ 13 ชีวิตติดถ้ำหลวงที่มีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน ที่ผ่านมา จนถึงเมื่อวานนี้วันที่ 10 กรกฎาคม 2561 ที่สามารถช่วยเหลือนักฟุตบอลเยาวชนทั้ง 12 คนและโค้ชเอกออกมาได้เป็นผลสำเร็จ ซึ่งนอกจากความช่วยเหลือที่มาในรูปแบบของการช่วยสำรวจช่วยดำน้ำแล้ว ยังมีความช่วยเหลือทางด้านเทคโนโลยีเป็นจำนวนมากที่เราได้พบเห็นในปรากฏการณ์ถ้ำหลวง

ในช่วงของการค้นหาทั้ง 13 ชีวิต สิ่งที่สำคัญคือการระบุตำแหน่งของผู้ประสบภัยให้ได้ ด้วยเหตุนี้ ความช่วยเหลือด้านเทคโนโลยีอย่างแรก จึงมาจากทีมหุ่นยนต์มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) โดยมีการส่ง “หุ่นยนต์ดำน้ำ ROV 1 เครื่อง และ โดรนติดกล้องตรวจจับความร้อน 2 ลำ” มาช่วยในการปฏิบัติการค้นหาในถ้ำและบนฟ้า

นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอให้ใช้ “ทีวีบอลโฮ” จากกรมทรัพยากรน้ำบาดาล โดยเสนอให้ใส่กล้องตัวนี้ลงไปทางปล่องโพรง เพื่อใช้ในการตรวจสอบสภาพภายในถ้ำในแนวดิ่ง เป็นช่องทางหนึ่งในการค้นหาตำแหน่งของทีมหมูป่าทั้ง 13 คน แต่ไม่ปรากฏว่ามีการใช้กล้องนี้จริงแต่อย่างใด

และหนึ่งในอุปสรรคที่ส่งผลต่อการกู้ภัยก็คือ “ฝน” ที่ตกและคอยเติมน้ำในถ้ำให้สูงตลอดเวลา ทีมช่วยเหลือจึงได้รับความช่วยเหลืออีกหนึ่งอย่างจากมหาวิทยาลัยไทยก็คือ “WMApp” แอปพลิเคชั่นตรวจสอบสภาพอากาศ โดยทีมจากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ซึ่งช่วยในการพยากรณ์สภาพอากาศเหนือถ้ำหลวง เพื่อประกอบการตัดสินใจว่าในการช่วยเหลือวันนั้น ๆ ว่าควรมีแผนการอย่างไร

ความสำคัญของการสูบน้ำในถ้ำให้พร่องออกไปเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญที่จะนำไปสู่การค้นหาทั้ง 13 ชีวิต และด้วยกำลังของเครื่องธรรมดาที่ไม่เพียงพอ จึงได้มีการนำ “เครื่องไดโว” ซึ่งมีลักษณะเป็นท่อที่มีการแตกแขนงออกไปคล้ายกิ่งไม้ สามารถสูบน้ำได้จากหลายทาง มาเป็นหนึ่งในตัวช่วยเพื่อให้สูบน้ำได้มากขึ้น

และเพื่อเป็นการป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นกับทีมช่วยเหลือซึ่งต้องอยู่ในถ้ำที่เต็มไปด้วยน้ำ ทาง สจล. จึงได้นำสิ่งประดิษฐ์ “ไม้ตรวจวัดกระแสไฟฟ้ารั่ว” มาให้ทีมช่วยเหลือ ทำให้สามารถตรวจวัดกระแสไฟฟ้าจากอุปกรณ์หรือสายไฟต่าง ๆ ที่ถูกนำเข้าไปติดตั้งภายในถ้ำเพื่อช่วยในการค้นหา หากพบว่าตรงจุดที่ชำรุดและมีกระแสไฟฟ้ารั่วจะได้สามารถซ่อมแซมและป้องกันได้ทันท่วงที

อย่างไรก็ตาม การสูบน้ำแม้จะใช้เครื่องไดโวมาเป็นตัวช่วยก็ยังไม่สามารถสูบน้ำได้มากพอ นายสุรศักดิ์ มาสมทบ เจ้าของเครื่องสูบน้ำยักษ์พลังสูง หรือที่เรียกว่า “ท่อซิ่งหัวพญานาค” จึงได้นำเครื่องสูบน้ำดังกล่าวเดินทางมาจากจังหวัดนครปฐมเพื่อช่วยสูบน้ำ โดยอุปกรณ์ที่เป็นความหวังนี้เคยไปช่วยน้ำท่วมเมื่อปี 2554 และน้ำท่วมที่จังหวัดเพชรบุรีที่ผ่านมาไม่นานจนสำเร็จมาแล้ว

วันที่ 2 กรกฎาคม 2561 เป็นวันที่คนไทยสามารถส่งเสียงร้องยินดีด้วยความโล่งใจได้ เมื่อนักดำน้ำชาวอังกฤษ 2 คนดำน้ำไปจนถึง “เนินนมสาว” จุดที่ทั้ง 13 ชีวิตกำลังรอคอยความช่วยเหลืออยู่ แต่ยังโล่งใจไม่ได้มากนักเมื่อจุดหมายปลายทางของภารกิจนี้คือการนำทั้ง 13 คน ออกมาจากถ้ำให้ได้

ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการเสนอแนวทางการช่วยเหลือหลายแนวทาง หนึ่งในนั้นคือ อุโมงค์ผ้าใบ ซึ่งมีลักษณะเป็นท่อยาวทำจากวัสดุที่มีความแข็งแรงและผ่านการทดสอบแล้วว่าไม่เสียหายแม้จะถูกหินครูด โดยมีการพูดคุยกันว่าจะต่อท่อตรงจากจุดที่ผู้ประสบภัยอยู่ออกมาจนถึงจุดที่ไม่มีน้ำท่วมสูง แต่ก็ไม่ได้ใช้วิธีการนี้จริง

อีกหนึ่งวิธีช่วยเหลือคือใช้การขุดเจาะ แต่ด้วยความยากลำบากของการขนส่ง จึงได้มีการนำ เฮลิคอปเตอร์ MI 17 มาใช้ขนส่งเครื่องขุดเจาะ ซึ่งตัวเครื่องขุดเจาะมีน้ำหนักมากกว่า 2 ตัน แต่เฮลิคอปเตอร์ลำนี้สามารถรับน้ำหนักได้ถึง 4 ตัน เรียกได้ว่าเป็นพาหนะที่มีประสิทธิภาพอย่างมากและน่ายินดีที่มันถูกนำมาใช้ในปฏิบัติการครั้งนี้

ระหว่างที่กำลังวางแผนหาทางช่วยเหลือทีมหมูป่าฯ อยู่นั้น สิ่งที่สำคัญคือสภาพร่างกายของทั้ง 13 ชีวิต ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการนำ “พาวเวอร์เจล” และ “ผ้าห่มฉุกเฉิน” เข้าไปให้ โดยพาวเวอร์เจลเป็นอาหารเสริมสำหรับคนที่ผ่านการใช้พลังงานเป็นจำนวนมากและขาดอาหารมาเป็นเวลานาน ส่วนผ้าห่มฉุกเฉินนั้นนำไปให้ทั้ง 13 คนห่ม เพราะภายในถ้ำมีความชื้นและอากาศที่เย็นกว่าภายนอก เสี่ยงต่อการเป็นโรคเกี่ยวกับปอด

นอกจากความช่วยเหลือจากน้ำใจคนไทยด้วยกันแล้ว ยังมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมของต่างประเทศถูกส่งมาเสริมปฏิบัติการค้นหาอีกด้วย

ในช่วงที่มีการค้นหาตำแหน่งของทั้ง 13 ชีวิต ควบคู่ไปกับการใช้โดรนดูจากบนฟ้าและการดำน้ำในถ้ำ ได้มีการส่ง “กล้องสแกนถ้ำ RSK Rescue” ซึ่งสามารถยิงเลเซอร์ออกไปรอบตัว แล้วแปลงออกมาเป็นแบบโครงสร้าง  โดยรัศมีของเลเซอร์จะอยู่ที่ประมาณ 150-200 เมตร ถ้าจะต้องการทราบถึงโครงสร้างของถ้ำทั้งหมดจะต้องวางกล้องถ่ายเป็นระยะ โดยการถ่ายและสแกนครั้งหนึ่งจะใช้เวลาไม่เกิน 3 นาที ภาพที่เห็นจะออกมาเป็นโครงสร้าง 3 มิติ ซึ่งจะทำให้ทราบลักษณะภายในถ้ำทั้งหมด แม้ในจุดที่สายตาไม่สามารถมองเห็นได้ ซึ่งเจ้ากล้องตัวนี้มีสนนราคาถึง 6 ล้านบาท!

อีกหนึ่งอุปกรณ์จากต่างแดน คือ “Heyphone” หรืออุปกรณ์สื่อสารระยะไกลที่สามารถใช้ได้แม้จะอยู่ภายในถ้ำ เพราะตัวเครื่องสามารถส่งคลื่นทะลุผนังถ้ำที่หนาได้ โดยเครื่องนี้เดินทางมากับนักดำน้ำชาวอังกฤษเป็นจำนวน 4 เครื่องด้วยกัน

และยังมี “เครื่องอินฟราเรดสแกนเนอร์” จากกองทัพสหรัฐอเมริกา ซึ่งสามารถสแกนรูปทรงของภูเขาว่ามีรูปทรงอย่างไรบ้าง อาจจะวิเคราะห์ได้ว่าในส่วนของภูเขาอาจจะมีโพรงอยู่อย่างไรบ้าง เพื่อใชในการคาดการณ์ตำแหน่งว่าทั้ง 13 คนจะหนีน้ำที่ขึ้นสูงไปหลบอยู่บริเวณใดของถ้ำ

และกลายเป็นเรื่องดีที่ 2 นักดำน้ำชาวอังกฤษสามารถดำน้ำไปยังจุดที่ทั้ง 3 ชีวิตหลบอยู่ได้ ซึ่งส่วนหนึ่งต้องขอบคุณ “ถังอากาศวนอากาศ Rebreather” ที่มีเทคโนดลยีสามารถนำอากาศที่ใช้หายใจไปแล้วมาหมุนเวียนหายใจใหม่ได้ ทำให้นักดำน้ำสามารถหายใจใต้น้ำได้นานมากขึ้น เพราะหากหายใจได้สั้นกว่านั้นไม่กี่นาที นักดำน้ำทั้งสองอาจตัดสินใจหันกลับและไม่ได้พบกับทั้ง 13 คนก็เป็นได้

ขั้นตอนการช่วยเหลือเพื่อนำทีมหมูป่าออกมาจากถ้ำหลวงให้ได้นั้นได้รับความอนุเคราะห์อย่างยิ่งจาก นายอีลอน มัสก์ มหาเศรษฐี เจ้าของธุรกิจผลิตจรวด SpaceX ซึ่งประดิษฐ์ “เรือดำน้ำจิ๋ว Mini-sub” มาให้ใช้ในการกู้ภัย โดยเจ้าเรือดำน้ำจิ๋วนี้มีลักษณะเหมือนกระสวยขนาดเล็กที่ผู้ประสบภัยสามารถนอนอยู่ในนั้นแล้วให้ทีมช่วยเหลือนำกระสวยออกมาจากถ้ำ แต่ด้วยสภาพภูมิประเทศที่ซับซ้อนและประเทศไทยกำลังจะมีฝนตกหนักอีกครั้ง ทำให้ทีมช่วยเหลือตัดสินใจใช้วิธีการให้เด็กดำน้ำแทน

แม้สิ่งประดิษฐ์และเทคโนโลยีบางอ่ยางจะไม่ได้ถูกนำมาใช้ด้วยเหตุผลหลาย ๆ อย่าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความช่วยเหลือทั้งหลายที่หลั่งไหลเข้ามายังถ้ำหลวง จ.เชียงราย นี้ มหาศาลอย่างยิ่ง และเป็นที่น่าปลาบปลื้มใจที่เหตุการณ์ครั้งนี้มีหลายฝ่ายให้ความช่วยเหลือจนท้ายที่สุดแล้วทั้ง 13 ชีวิตก็สามารถออกมาจากถ้ำหลวงได้เป็นผลสำเร็จ

Bottom-BDMS Bottom-BDMS

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

PPTVHD36

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ