กลุ่มอนุรักษ์เปิดเผยว่า จำนวนโลมาเผือก (โลมาสีชมพู ,โลมาหลังโหนก) ที่อยู่อาศัยในบริเวณปากแม่น้ำจูเจียง (แม่น้ำไข่มุก) ได้ลดลงเกือบร้อยละ 80 จาก 200 ตัว เหลือ 47 ตัว ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่มีการก่อสร้างสะพานดังกล่าว
ลินด์เซย์ พอร์เตอร์ นักวิจัยอาวุโสประจำสถาบันวิจัยสัตว์ทะเลที่เลี้ยงลูกด้วยนม SMRU Hong Kong บอกว่า เสียงรบกวนใต้น้ำจากการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น เป็นอุปสรรคต่อการสื่อสารและการออกหากินของโลมาเหล่านี้ ซึ่งกระทบกับความอยู่รอดของพวกมัน
กว่าครึ่งของโลมาเผือกที่พบเห็นในปัจจุบัน มีลักษณะที่แสดงถึงความผิดปกติ เช่น แผลที่ผิวหนัง และการติดเชื้อ เนื่องมาจากระดับเสียงรบกวนที่สูงและความเครียด
ด้าน ซาแมนธา ลี ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายอนุรักษ์ทางทะเลของกองทุนสัตว์ป่าโลกในฮ่องกง บอกว่า การสัญจรทางทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นรอบๆ เกาะฮ่องกง มลพิษ และการทำประมงเกินขนาด ล้วนนำไปสู่การสูญเสียที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของโลมาเผือก
ที่ผ่านมา รัฐบาลฮ่องกงพยายามแก้ปัญหานี้โดยจัดสรรพื้นที่หลายแห่ง เช่น บราเธอร์ส มารีน พาร์ค บนเกาะลันเตา เพื่อชดเชยผลกระทบที่เกิดจากโครงการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน แต่โลมาก็ไม่ได้กลับไปที่บริเวณดังกล่าว
โลมาเผือกนี้ ถูกจัดอยู่ในกลุ่มสัตว์โลกใกล้สูญพันธุ์ จีนได้จัดให้อยู่ในประเภทสัตว์ในความคุ้มครองอันดับหนึ่งของประเทศ เช่นเดียวกับ แพนด้ายักษ์ และเสือโคร่งจีนใต้ โดยโลมาเผือกได้ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์อย่างเป็นทางการในพิธีส่งมอบเกาะฮ่องกงจากอังกฤษ คืนให้กับจีน เมื่อปี 1997 ด้วย
ส่วนสะพานเชื่อมเกาะฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่นั้น มีความยาวทั้งสิ้น 30 กิโลเมตร ใช้งบประมาณในการก่อสร้าง 6 แสน 3 หมื่นล้านบาท โดยสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่ยังไม่ได้กำหนดวันเปิดใช้อย่างเป็นทางการ