วันนี้ (31 ก.ค.61) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ประตูระบายน้ำเขื่อนแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี มวลน้ำที่ถูกปล่อยออกมาจากเปิดประตูระบายน้ำทั้ง 2 บานเต็มพิกัดเพื่อเร่งระบาย หลังมีปริมาณน้ำในเขื่อนเพิ่มสูงขึ้น เพียงแค่หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา ปริมาตรน้ำเพิ่มสูงขึ้นกว่า 200 ล้านลูกบาศก์เมตร และสามารถรับน้ำได้อีกเพียง 61 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้ต้องเฝ้าระวัง
โดยเขื่อนแก่งกระจาน มีความสามารถกักเก็บน้ำ 710 ล้านลูกบาศก์เมตร ขณะนี้มีน้ำในเขื่อน 649 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 91 เปอร์เซ็นต์ของความจุเขื่อน รับน้ำเข้าเขื่อนวันนี้ 10.79 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ลดลงจากเมื่อวานนี้ (30 ก.ค.61) และระบายน้ำออก 8.90 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน โดยคิดเป็นการระบายน้ำ 100 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เต็มความสามารถ ซึ่งสาเหตุที่ระบายน้ำออกจากเขื่อนได้มากขึ้น เพราะเมื่อวานนี้ติดตั้งท่อส่งน้ำ 10 ท่อ ตามวิธีลักน้ำออกจากเขื่อน ทำให้วันนี้สามารถระบายน้ำออกจากเขื่อนเพิ่มเป็น 103 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
ทั้งนี้น้ำจากเขื่อนแก่งกระจาน จะไหลไปที่เขื่อนเพชร ก่อนส่งลงไปในแม่น้ำเพชรบุรี ซึ่งวันนี้น้ำที่ผ่านเขื่อนเพชรระบายลงแม่น้ำเพชรบุรี 57 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และแยกระบายลงระบบคลองชลประทานทั้ง 4 สาย รวม 46 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที เพื่อช่วยลดการส่งผลต่อแม่น้ำเพชรบุรี ทีมข่าวสำรวจพบว่า ยังไม่มีจุดใดเกิดน้ำล้นตลิ่ง
ด้าน ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี สั่งเปิดศูนย์บัญชาการเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำในเขื่อนแก่งกระจาน หลังมีแนวโน้มว่าน้ำในเขื่อนแก่งกระจาน อาจจะเพิ่มสูงขึ้น เพราะยังมีฝนตกเหนือเขื่อน และน้ำป่าจากเทือกเขาตะนาวศรีไหลลงมาสมทบต่อเนื่อง จึงเรียกประชุมหน่วยงานราชการในพื้นที่เตรียมแผนรับน้ำ
ขณะที่ผู้อำนวยการโครงการชลประทานเพชรบุรี เปิดเผยว่า ปริมาณน้ำในปีนี้มาเร็วและมากกว่าปีที่ผ่านมา โดยพบว่า เพียง 1 สัปดาห์ก่อน ปริมาตรน้ำในเขื่อนแก่งกระจานเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่หากไม่มีฝนตกลงมาเพิ่มเติมคาดว่าจากควบคุมสถานการณ์และบริหารจัดการน้ำได้ ส่วนปริมาตรน้ำในอ่างเก็บน้ำห้วยผาก และอ่างเก็บน้ำห้วยแม่ประจัน ยังอยู่ในระดับปกติ แต่ก็ต้องเฝ้าระวัง เพราะหากน้ำทั้ง 2 แหล่งนี้ ไหลลงแม่น้ำเพชรบุรี จะทำให้เกิดปัญหาเพิ่ม แต่จากที่ทีมข่าวสำรวจยังไม่มีจุดใดน้ำล้นตลิ่ง
นอกจากนี้ในที่ประชุมศูนย์บัญชาการเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำเพชรบุรี ผู้ว่าราชการจังหวัดได้สั่งกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เฝ้าติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่อย่างใกล้ชิด และประกาศแจ้งเตือนประชาชนโดยใช้ภาษาที่เข้าใจง่ายไม่ออกเชิงวิชาการ จนทำให้ประชาชนเกิดความไม่เข้าใจ