หากมองเผินๆไทยและเวียดนามมีความพร้อมและความเหมาะสมใกล้เคียงกันมาก ในการเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดผู้นำสหรัฐฯ-เกาหลีเหนือ ครั้งที่ 2 ทั้งระยะทาง ความปลอดภัย และความพร้อมในการจัดการประชุมระดับโลก
แต่สาเหตุที่ฮานอยถูกเลือกให้เป็นเจ้าภาพ เพราะนอกจากจะเป็นประเทศที่เป็นกลาง มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อทั้งเกาหลีเหนือและสหรัฐฯ กรุงฮานอยยังตรงต่อความต้องการของผู้นำทั้งสองได้เหนือกว่าว่าสถานที่อื่นๆ
สำหรับฝั่งสหรัฐฯ ความปลอดภัยเป็นปัจจัยหลักสำหรับเดินทางของตัวผู้นำ และ โดนัลด์ ทรัมป์ เองเคยมาเยือนเวียดนามแล้ว ตอนมาร่วมการประชุมเอเปกที่เมืองดานังเมื่อสองปีก่อน จึงมีเรื่องของความคุ้นเคยเข้ามาเกี่ยวด้วย
แต่สำหรับ คิม จอง-อึน แล้วการเดินทางมาฮานอยนั้นมีปัจจัยอื่นนอกเหนือความสะดวก – ฮานอยรับความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆโดยไม่ได้ละทิ้งวัฒนธรรมเดิมๆไป
โครงสร้างระบบการเมืองของเกาหลีเหนือนั้นคล้ายกับโครงสร้างของเวียดนามมาก ทั้งสองประเทศผ่านสงครามที่เคยแบ่งประเทศออกเป็นสอง ระบบการเมืองมีพรรคเดียวปกครอง รัฐคุมสื่อทั้งหมด เวียดนามปฏิรูปจนทุกวันนี้กลายเป็นประเทศสมาชิกอาเซียนที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างแข็งแรง โดยไม่สูญเสียอัตลักษณ์เดิมเลยแม้แต่น้อย
หาก เกาหลีเหนือ คิดจะปลดอาวุธนิวเคลียร์จริง ก็ต้องมีการปฏิรูปภาคเศรษฐกิจ และเวียดนามเป็นตัวอย่างที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการปฏิรูปของเกาหลีเหนือ
แล้วการที่ คิม เดินทางด้วยการนั่งรถไฟ ยังเป็นการฉายภาพให้ประชาชนในประเทศเห็นว่า การก้าวไปสู่อนาคตของคิม จอง-อึน เป็นการเดินตามรอยเท้าของผู้นำที่ล่วงลับไปแล้ว แม้วาทกรรมจะเบาลง แต่ผู้นำคนใหม่ก็ไม่ได้ทิ้งอุดมการณ์เดิมไป
ตอนนี้ประชาชนชาวเวียดนามเองก็ตื่นเต้นและภูมิใจที่เมืองหลวงกำลังจะเป็นเวทีการสร้างสันติภาพครั้งประวัติศาสตร์ และต่อให้การประชุมครั้งนี้ไม่ประสบผลสำเร็จอย่างที่หลายฝ่ายคาดหวังเอาไว้ แต่เพียงแค่มาเยือนกรุงฮานอย แค่ได้มาเห็นตัวอย่างของเวียดนาม คิม จอง-อึน ก็ไม่ได้กลับไปมือเปล่าแล้ว