ชำแหละ ม.44 พ.ร.บ.สงฆ์เอาผิด "หมอปลา"

เผยแพร่ 17 พ.ค. 2565 ,19:34น.

การเตรียมตรวจสอบ และ เอาผิดหมอปลา ตอนนี้ดูเหมือนหลายฝ่าย เดินหน้าเต็มที่ แต่ก็ มีการตั้งข้อสังเกตจาก “ทนายอรรณพ บุญสว่าง” ทนายความที่ว่าความให้พระผู้ใหญ่คดีเงินทอนวัด มองว่า หากจะเอาผิดหมอปลาต้องระวังให้ดี เพราะ หากมากเกินไป หลังจากนี้อาจจะยิ่งทำให้ไม่มีใครกล้าตรวจสอบพระสงฆ์ ซึ่งหากเป็นแบบนั้น จะยิ่งทำให้พระนอกรีดแฝงตัวอยู่ในวงการศาสนาโดยไม่มีการตรวจสอบ

วันนี้ 17 พ.ค. 2565 คุณเอกรัฐ ไปพูดคุยกับ สอบถาม นาย อรรณพ บุญสว่าง ทนายความ ที่เคย ว่าความในคดีมหากาพย์เงินทอนวัด โดยเป็นทนายให้กับอดีตพระชั้นอยู่ใหญ่ จนศาลยกฟ้อง ถือเป็นคนที่อยู่ในวงการกฎหมายสงฆ์มายาวนาน ทนายอรรณพ บอกว่า เท่าที่ติดตามจากข่าว พบว่า 4 ข้อหา ที่มีการเตรียมฟ้องร้องดำเนินคดีกับ หมอปลา ประกอบด้วย พ.ร.บ.ฯ คอม อั้งยี่ ซ่องโจร สร้างพยานหลักฐานเท็จ และ สร้างความเสื่อมเสียให้แก่คณะสงฆ์ โดยข้อหาหลังสุด คือ มาตรา 44 ตรี ของ พ.ร.บ.สงฆ์

"หมอปลา" พาสื่อบุกจับพระมั่วสีกาที่นครนายก หลังสามีร้องให้ช่วย

จ่อแจ้งความ “หมอปลา” เหตุบุกรุก-ไม่ให้เกียรติศิษย์เอกหลวงพ่อคูณ

ซึ่งเนื้อหาเต็มๆ ระบุว่า “ผู้ใดใส่ความคณะสงฆ์ หรือ คณะสงฆ์อื่น อันอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียหรือความแตกแยก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ

ทนายอรรณพ อธิบายว่า จากมาตรานี้ ต้องนิยาม 2 เรื่องคำว่า “คณะสงฆ์” หมายถึงใคร กับ คำว่า”เสื่อมเสีย แตกแยก” พฤติกรรมแบบใดจึงจะเข้าเกณฑ์

ซึ่งเมื่อดูกฎหมายประกอบ พบว่า “คณะสงฆ์” หมายถึง พระภิกษุ ที่ได้รับการบรรพชาอุปสมบท จากพระอุปัฌชาย์ หมายความว่า คำว่า คณะสงฆ์ ครอบคลุม และคุ้มครอง พระสงฆ์ทุกรูป ทุกนิกาย ในกรณีของหมอปลา ก็หมายความว่า กฎหมาย คุ้มครองและดูแล หลวงปู่แสงด้วย

ส่วนคำนิยามของการ “สร้างความเสื่อมเสีย หรือ ความแตกแยก” ทนายอรรณพ บอกว่า กฎหมาย ไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจน แต่หากยกตัวอย่างองค์ประกอบของคำ 2 คำนี้ จะต้องดูจากพฤติกรรมก่อน ว่า เกิดจาก การใส่ความ การพูดสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง การแต่งเติม ซึ่งนำไปสู่ “การสร้างความเสื่อมเสีย หรือ ความแตกแยก หรือ ทำให้เกิดข้อถกเถียงในสังคมหรือไม่

ในกรณีของหมอปลา ทนาย อรรณพ แสดงความเห็นว่า ครบองค์ประกอบทางกฎหมาย แต่ก็เตือนว่า การจะใช้กฎหมาย มาตรา 44 พ.ร.บ.สงฆ์ เอาผิดใคร ต้องระวังอย่างยิ่ง เพราะ อาจทำให้ เวลาเกิดเรื่องในแวดวงสงฆ์ คนทั่วไปอาจไม่กล้ายื่นมือเข้ามาตรวจสอบ เพราะ กลัวถูกดำเนินคดี

นอกจากนี้ยังเสนอว่า คณะสงฆ์ หรือ สำนักพุทธฯ ก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเคร่งครัด เวลาที่มีคนมาร้องเรียนให้ตรวจสอบพระ ไม่เช่นนั้นในอนาคตก็จะเกิดกรณีการตรวจสอบกันเองแบบที่หมอปลาทำ เนื่องจากต้องยอมรับว่า สำนักพุทธฯ ทำงานไม่ทันใจประชาชน ทำให้ คนแบบหมอปลา ลุกขึ้นมาทำหน้าที่แทน

ส่วนความเคลื่อนของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หลังมีข่าวว่าจะดำเนินคดีกับ หมอปลา ทีมข่าวตรวจสอบไปที่ นายสิปป์บวร แก้วงาม ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ระบุเป็น “อยู่ระหว่างประชุมร่วมกับรัฐมนตรี และ พระชั้นผู้ใหญ่ เพื่อความชัดเจน และยังไม่ขอออกความเห็นใดๆ"