ความคืบหน้ากรณีมูลนิธิคุ้มครองเด็กชื่อดังใน อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ถูกร้องเรียนเรื่องดังกล่าวเกี่ยวกับพฤติกรรมทำร้ายร่างกายและใช้แรงงาน ซึ่ง นายมนตรี สินทวิชัย หรือ ครูยุ่น เข้าพบตำรวจ พร้อมรับทราบข้อกล่าวหาตามหมายเรียกแล้วนั้น
ล่าสุด นายแก้วสรร อติโพธิ ในฐานะประธานมูลนิธิ กล่าวยืนยันว่า ที่นี่คือมูลนิธิที่ช่วยเหลือเด็กถูกรังแก ไม่ใช่มูลนิธิรังแกเด็ก โดยผู้เกี่ยวข้องพร้อมให้ความร่วมมือตามกระบวนการทางกฎหมาย แต่ขอสังคมอย่าฟังความข้างเดียว
ครูยุ่น มูลนิธิคุ้มครองเด็ก รับทราบ 2 ข้อหาทำร้ายร่างกาย-ใช้แรงงานเด็ก
เปิดประวัติ “มูลนิธิคุ้มครองเด็ก” ที่ "ครูยุ่น" รั้งตำแหน่ง เลขาธิการ
“Space AC” โรงเรียนแรกในไทยที่การศึกษาไปไกลถึงนอกโลก
นายแก้วสรร กล่าวว่า การช่วยเหลือและดูแลเด็กคือวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ ส่วนตัวรู้จัก ครูยุ่น และก็ศรัทธาในสิ่งที่เขาทำ ส่วนคำพูดคำจาที่ปรากฎในคลิป มีการพูดมึงกู ก็เป็นสิ่งที่พ่อกับลูก ในลักษณะว่ากล่าวกันว่าทำไมทำอย่างนั้นอย่งานี้
ส่วนข้อวิจารณ์เกี่ยวกับการใช้อำนาจปกครอง ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า มูลนิธินี้ ครูยุ่น ทำหน้าที่เหมือนเป็นพ่อที่ขาดหายไปของเด็ก มีการอบรมสั่งสอน อำนาจปกครองต่างๆ ของการเป็นผู้ปกครองจึงจำเป็นต้องมี เขาทำงานมาดี เด็กหลายคนเรียนจบมหาวิทยาลัย ไปทำงานเป็นหมอ แต่ก็มีกรณีที่มีปัญหาด้วยเช่นกัน อย่างกรณีที่เป็นข่าวนี้ เป็นเด็กที่มูลนิธิเลี้ยงมาตั้งแต่อายุ 7 เดือน ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ
อย่างไรก็ตาม นายแก้วสรร ย้ำว่า มีเรื่องที่ต้องตำหนิ ครูยุ่น ด้วยเช่นกัน ก็คือ การฮึดสู้ของครูยุ่น มีกรณีที่เด็กติดยาเสพติด ขโมยเงินของมูลนิธิไปเป็นหมื่นบาท ถ้าเป็นที่อื่นของไล่ออกไปแล้ว แต่ครูยุ่น ฮึดสู้ บอกว่าต้องเอาให้อยู่ กลายเป็นว่ามีปัญหาเกิดขึ้นหลายด้าน รวมถึงการที่ไม่สามารถมีเงินมากพอที่จะจะจ้างครูพี่เลี้ยงที่มีฝีมือให้มาช่วยกันทำงาน
นายแก้วสรร ยกตัวอย่างของการใช้อำนาจทางปกครอง ที่คนทั่วไปอาจมองเป็นการทำเกินกว่าเหตุ ว่า “ถ้าลูกคนโตของบ้าน แอบพาน้องไปว่ายน้ำ ทั้งที่เราห้าม เราเตือนแล้วว่าอย่าทำ เพราะอันตราย จนล่าสุดเด็กเกือบตกน้ำตาย หัวแตกกลับมา เป็นคุณ คุณจะตีไหม ถ้ามันเป็นโทษครั้งแรกก็เรื่องหนึ่ง แต่นี่ก็เกิดขึ้นหลายครั้ง”
“ถ้าคุณเป็นพ่อ แล้วมีลูกที่ทำผิดแล้วผิดอีก ผิดถึงขั้นทำคนเกือบตาย จะพาน้องไปตายด้วย คุณก็ต้องตี เพื่อให้คนอื่นเห็นว่า อย่าทำ มันไม่ดี และไม่ใช่เรื่องของการประจานเด็กแต่อย่างใด”
ส่วนข้อกล่าวหาว่าใช้แรงงานเด็กนั้น นายแก้วสรร เล่าว่า ครูยุ่น ได้ที่ดินมรดกมา จึงมาทำรีสอร์ท 10 กว่าห้อง เพื่อหาเงินมาจุนเจือมูลนิธิ พอวันหยุดเสาร์อาทิตย์ เด็กๆ ที่ว่างก็ขอไปทำงาน เพราะได้ทิป ได้เงินจากแขก ซึ่งพวกเขาแย่งกันไปด้วยซ้ำ
“ใช้แรงงานอะไร ไปเก็บใบไม้ ล้างจาน เสิร์ฟอาหารให้แขก เขาแย่งกันไปด้วยซ้ำ ได้ทิป 100-200 บาทก็ยังมี ปัญหาคือคุณจะเชื่อใคร คำตอบคือคุณไม่ต้องเชื่อใครหรอก แต่ต้องรับฟังสองฝ่าย อย่าทำอะไรให้มันเอะอะ วายป่วงแบบนี้ มีเรื่องร้องเรียนก็เชิญครูยุ่นไปสอบปากคำก็ว่ากันไป อยากสอบปากคำลูกหรือครูพี่เลี้ยง ก็ค่อยๆทำก็ได้”
นายแก้วสรร กล่าวอีกว่า สำหรับกรณีดังกล่าว เชื่อว่าครูยุ่นมีอาการเครียด เพราะทำงานเรื่องนี้มาทั้งชีวิต จากนี้ถ้าครูยุ่นไม่ทำ ใครจะทำ มีคนอย่างครูยุ่นหรือไม่ ต้องเห็นส่วนรวมตรงนี้ด้วย เราอยากให้มีมูลนิธิทุกจังหวัดด้วยซ้ำ ที่ผ่านมามีเด็กถูกรังแกจำนวนมาก ยาเสพติดเข้ามาก็ยิ่งหนัก ขอยืนยันว่าที่นี่ไม่ใช่มูลนิธิรังแกเด็ก และตำรวจอย่ามารังแกประชาชน