เอกสารการยื่นขอจดทะเบียนบริษัท ซึ่งมีชื่อของ“นายนันทจักษ์”ผู้ต้องหาขโมยเด็กทารก เป็นผู้ขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนจำกัด เมื่อวันที่ 30 ก.ย.2564 โดยมีทุนจดทะเบียน 3 ล้านบาท
ในเอกสารระบุว่าบริษัทดังกล่าว ทำธุรกิจเกี่ยวกับการค้าส่ง ค้าปลีก กล่องกระดาษลูกฟูก และกล่องกระดาษทุกประเภท
ที่สำคัญการจดทะเบียนดังกล่าว มีชื่อของ นายนันท์ ที่ระบุว่าเป็นผู้จัดการอยู่หุ้นส่วนชื่อแรก ลงหุ้นด้วยเงินสด 2 ล้าน 1 แสนบาท ถัดไปเป็นชื่อของหุ้นส่วนอีก 2 คน
เร่งสอบที่มาเงินในบัญชี โยงคดี "น้องต่อ"
"แม่น้องต่อ" รับกุเรื่องชายเสื้อเหลือง
ซึ่งก็คือ แม่ และ น้องสาวของนายนันท์ โดยแม่ลงหุ้นเงินสด 6 แสนบาท ส่วนน้องสาว ลงหุ้น 3 แสนบาท
ทีมข่าวได้ลองสำรวจพิกัดจุดตั้งบริษัท ตามข้อมูลการยื่นจดทะเบียน พบว่าเป็นบ้านหลังหนึ่งภายในหมู่บ้าน การสอบถามชาวบ้านละแวกใกล้เคียงบอกว่า เคยมีการเปิดบริษัทจริง แต่ไม่รู้ว่าเป็นธุรกิจเกี่ยวกับอะไร เพราะปกติจะไม่ค่อยสุงสิงกัน
แต่บริษัทดังกล่วปิดตัวไปแล้ว ประมาณ 1 ปี และบ้านหลังดังกล่าวก็ถูกขายต่อไป เพราะเจ้าของบ้านเก่าประสบปัญหาเรื่องการเงิน เมื่อทีมข่าวนำภาพของ “นายนันท์” ให้กับชาวบ้านดู แต่ก็ไม่เคยมีใครเห็น หรือ รู้จักมาก่อน
ทีมข่าวสอบถามข้อเท็จจริงกับ “พี่สาวของนายนันท์” ให้ข้อมูลว่า “นายนันท์” เคยจดทะเบียนตั้งบริษัทจริง รู้เพียงว่าเป็นบริษัททำกล่องกระดาษ จดทะเบียนบริษัทช่วงปลายปี 2564
ส่วนที่มีชื่อแม่และน้องสาวร่วมเป็นหุ้นด้วยนั้น เพราะ “นายนันท์” ยืมชื่อของทั้งสองคนไปจดทะเบียน โดยที่แม่และน้องไม่รู้เรื่องนี้
ที่ผ่านมา นายนันท์ เป็นคนเปลี่ยนงานบ่อย ทำงานมาหลายที่ ช่วงปี 2563 เคยทำงานเป็นเซลล์ ประมาณ 1 ปีก็ไปยื่นจดทะเบียนบริษัท ช่วงประมาณ 2564-2565 แล้วก็เลิกกิจการไปช่วงโควิดระบาด
พี่สาวบอกว่า ปกติ “นายนันท์” เป็นคนคิดจะทำอะไรก็ทำเลย ไม่เคยปรึกษา เรื่องการเปิดบริษัทก็เหมือนกัน จนประสบปัญหามีคดีความเกี่ยวกับธุรกิจกล่องกระดาษ ซึ่ง นายนันท์บอกว่าถูกโกง และเลิกกิจการไป
ส่วนเงินลงทุนในการเปิดบริษัทนั้น “พี่สาว” บอกว่าไม่รู้จริงๆ ว่าน้องเอาเงินมาจากไหน เพราะปกติไม่เคยยุ่งเรื่องเงินกัน และไม่รู้ว่า “นายนันท์” มีเงินมากน้อยแค่ไหน
อีกประเด็นที่ยังไม่ชัดเจน ก็คือการตรวจสอบบัญชีธนาคาร ที่ตำรวจพบข้อมูลว่า “นายนันท์” มีบัญชีมากกว่า 10 บัญชี และในจำนวนนี้ก็มีเงินถูกโอนเข้ามา 2 ก้อนใหญ่ ก้อนแรก วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2566 มีเงินเข้าบัญชี ผู้ต้องหา 60,000 บาท โดยแบ่งโอน 3 ครั้งยอดครั้งละ 20,000 บาท
และอีกครั้งในช่วงคาบเกี่ยวกับคดีของ “น้องต่อ” ก็มีเงินโอนเข้าบัญชี นายนันท์ อีก 100,000 บาท แบ่งโอน 5 ครั้ง ครั้งละ 20,000 บาท รวมเงินเข้าบัญชีทั้งหมด 160,000 บาท ซึ่งจากการสอบปากคำ นายนันท์ ไม่สามารถตอบได้ว่าเงินดังกล่าวมาจากไหน แต่อ้างว่าบัญชีทั้งหมดเปิดเอาไว้เพื่อรอรับเงินจากการลงทุนซื้อกองทุน
ด้าน พ.ต.อ.พัลลภ สุริยกุล ณ อยุธยา รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม เปิดเผยว่า ขณะนี้พนักงานสอบสวนรวบรวมบัญชีธนาคารทั้งหมดของ “นายนันท์” ตรวจสอบกับทางธนาคารว่ามีเงินโอนเข้าบัญชีไหนบ้าง และจำนวนเท่าไหร่
ขณะนี้ยังไม่สามารถให้รายละเอียดข้อมูลได้ชัดเจน เพราะอยู่ระหว่างตรวจสอบเส้นทาง ต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 วัน ส่วนจุดประสงค์ในการเปิดบัญชีของนายนันท์ที่อ้างว่าเปิดเพื่อรอรับเงินจากกองทุน ต้องตรวจสอบรายละเอียดให้ชัดเจนว่าเป็นกองทุนอะไร และมีเงินโอนเข้ามาในบัญชีจริงหรือไม่.