วันที่ 18 พ.ค. 2567 พล.ต.ท. วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. พร้อมด้วย พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.นิพล บุญเกิด ผบก.สอท.2 และ พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผบก.สอท.5 ร่วมแถลงข่าว ปฏิบัติการ HANG UP จับกุมหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์โหดพร้อมสมุน 12 ราย
โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ ผบช.สอท. กล่าวว่า หลังทราบเรื่องได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สืบสวนสอบสวนจนพบพยานหลักฐานที่สอดคล้องว่าผู้เสียหายรายนี้โดนหลอกโดยแก็งคอลเซ็นเตอร์ในเมืองโอเสม็ด จังหวัดอุดรมีชัย ประเทศกัมพูชา
ตำรวจไซเบอร์จึงได้ประสานไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจประเทศกัมพูชาว่ามีคนไทยถูกหลอกไปทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์และได้หาทางติดต่อขอความช่วยเหลือจากสถานทูตไทยในกัมพูชา จนสามารถช่วยเหลือออกมาได้จำนวน 4 คน
ต่อมา พนักงานสอบสวน กก.3 บก.สอท.2 บช.สอท. จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานจนทราบข้อมูลบุคคลของแกังคอลเซ็นเตอร์ในเมืองโอเสม็ดดังกล่าว จนสามารถขออำนาจศาลอาญาออกหมายจับ ได้จำนวน 15 ราย โดยตำรวจไซเบอร์ได้ลงพื้นที่ติดตามจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับกลุ่มดังกล่าวได้ ทั้งสิ้น 12 ราย ซึ่งสามารถจับกุมนายปฏิภาณ หรือ อาฉิ่ง อายุ 21 ปี หัวหน้าแก๊งได้อีกด้วย ส่วนผู้ต้องหาอีก 3 ราย พบว่าได้หลบหนีออกนอกประเทศผ่านช่องทางธรรมชาติไปแล้ว
ด้าน พล.ต.ต.นิพล ผบก.สอท.2 ระบุว่า ปฏิบัติการในครั้งนี้สืบเนื่องจากมีผู้เสียหายรายหนึ่งได้ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์อ้างเป็นพนักงานธนาคาร โทรมาหลอกว่าผู้เสียหายเป็นหนี้บัตรเครดิต และมีส่วนเกี่ยวข้องในคดีฟอกเงินต้องโดนดำเนินคดี จนผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไปหลายครั้ง รวมทั้งสิ้น 2,370,000 บาท กระทั่งรู้ตัวว่าโดนหลอก จึงเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนในเวลาต่อมา โดยเจ้าหน้าที่พบหลักฐานสำคัญของ นายปฏิภาณ หรือ อาฉิ่ง เกี่ยวกับขั้นตอนการทำงานของแก็งคอลล์เซ็นเตอร์เก็บไว้ในแฟลชไดรฟ์จำนวนมาก เช่น ข้อมูลเหยื่อกว่า 12,000 ราย บทพูดหลอกลวงผู้เสียหายของสาย 1 และ สาย 2 รวมถึงข้อมูลการแก้ปัญหากรณีเหยื่อสอบถามกลับ และคลิปวีดีโอของนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่ทำการตัดต่อเสียงและข้อมูลบัตรข้าราชการตำรวจปลอม
โดยจากการสอบสวนผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมทุกคนให้การยืนยันว่า นายปฏิภาณ หรือ อาฉิ่ง คือผู้ควบคุมสั่งการ ทั้งหมด โดยพักอาศัยในอาคารมีรั้วสูงรอบขอบชิด มี รปภ. เฝ้าตลอดเวลา ไม่สามารถออกไปไหนได้หากใครทำยอดไม่ได้หรือทำผิดกฎหรือพยายามหลบหนี จะถูกบังคับให้ยืนตากแดดนาน 2-3 ชั่วโมง หรือทำร้ายร่างกายโดยการทุบตี และช็อตด้วยไฟฟ้า อีกทั้ง อาฉิ่ง ยังเป็นผู้เรียบเรียงบทพูดในการหลอกลวงผู้เสียหาย โดยนายอาฉิ่งพูดได้ทั้งภาษาไทยและภาษาจีน
นอกจากนี้ผู้ต้องหาทุกคนยอมรับและเปิดเผยว่า ได้ทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์กลุ่มดังกล่าวในประเทศกัมพูชา ตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม 2565 ถึงกลางปี 2566 ซึ่งเหยื่อส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและข้าราชการเกษียณอายุ โดยนายฉิ่งตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องหลอกเหยื่อให้โอนเงินอย่างน้อยสัปดาห์ละ 20 ล้านบาท หรือประมาณเดือนละ 80 ล้านบาท ทำให้มีแก๊งดังกล่าวมีรายได้หมุนเวียนนับพันล้านบาทต่อปี