จากกรณีธุรกิจขายตรงชื่อดัง “The icon” ซึ่งมีผู้เสียหายเข้าแจ้งความจำนวนมาก โดยมีมูลค่าความเสียหายหลายร้อยล้านบาทนั้น
ล่าสุด “บอสพอล” วรัตน์พล วรัทย์วรกุล ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง บริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด (The iCON) โดยในการสัมภาษณ์ในรายการโหนกระแสถึงจุดเริ่มต้นของดิไอคอน ตอนหนึ่งว่า ตนคิดจะสร้างธุรกิจขายของออนไลน์ ที่มีระบบซัพพอตที่ดีขึ้น โดยจดทะเบียนเป็นธุรกิจการตลาดแบบตรง
หลังจากจดเป็นธุรกิจการตลาดแบบตรง ก็มีการขายของผ่านออนไลน์ โดยตนจะขายปลีกและขายส่งให้กับตัวแทน ส่วนตัวแทนรับสินค้าไปแล้วเขาจะไปขายผ่านหน้าร้าน หรือขายผ่านออนไลน์ก็ได้ ส่วนตำแหน่งบอสของบริษัทนั้น ตอนตั้งบริษัทแรกๆมีเยอะ ประมาณ 20 คน แต่หลังจากนั้นเหลือประมาณ 10 คน โดยจริงๆแล้วบอสก็คือตัวแทนจำหน่าย แต่จะเป็นตัวแทนจำหน่ายติดบริษัท ซึ่งหลังจากที่ตนขายของไปแล้วก็เป็นตัวแทนจำหน่ายแต่ละคนไปดูแลจัดการแต่ละทีม
ส่วนคนที่รองจากบอส หรือเรียกแม่ข่ายนั้น ก็คือตัวแทนจำหน่ายที่อยู่ในทีมของบอสนั้นๆ ซึ่งในส่วนของบอสแต่ละคนจะไปมีทีมของเขากี่ทีมก็เรื่องของเขา โดยบอสทั้ง 10 คนมีรายได้จากการขายหากขายได้เยอะก็ได้ผลตอบแทนเยอะ ซึ่งก็ยืนยันว่าบอสบางคนมีรายได้เยอะจนสามารถซื้อรถหรูได้จริง
เมื่อถามถึงเรื่องระบบที่มีโค้ช หรือครูเข้าไปสอนการขายออนไลน์แล้วชวนเขาเปิดบิล โดยบอกว่าใช้โทรศัพท์เครื่องเดียวทำให้รวยได้หมายถึงอะไร “บอสพอล” บอกว่า เรื่องการโฆษณาเขาก็อาจจะโฆษณาว่าเรียนออนไลน์ แล้วยิงแอดไป พอคนที่สนใจอยากเรียนรู้เกี่ยวกับธุรกิจออนไลน์เขาก็คงอยากมาเรียน เมื่อเขาเข้ามาเรียนแล้วเท่าที่ตนทราบมันก็จะมีการสอนจริงๆ แต่เขาคงสอนไม่เหมือนกันเพราะตัวแทนจำหนายมีหลากหลาย ซึ่งตนก็เคยสุ่มเข้าไปตรวจดูคอร์สสอน ซึ่งก็มีการสอนจริง แล้วก็มีการแนะนำสินค้าคล้ายๆกับการขั้นด้วยโฆษณาแล้วก็มาสอนต่อ ส่วนการแนะนำสินค้าหรือพูดถึงเรื่องตัวธุรกิจจะทำช่วงท้ายสุด หลังจากนั้นเขาก็จะบอกว่าถ้าใครสนใจแล้วไม่มีสินค้าก็มาขายกับบริษัท โดยมันเป็นวิธีการ ซึ่งตนก็มองว่าเป็นการนำเสนอข้อมูล ก็เป็นการนำเสอนทางเลือกว่าจะขายไหมหรือจะไม่ขาย แต่ในข้อเท็จจริงใน 1 คอร์ส มีประมาณ 100 คน พอตนเช็คในระบบ ทั้ง 100 คนจะมีคนสนใจแค่ 5% แต่เมื่อสั่งสมมาหลายปีก็ทำให้ยอดขายถึงพันล้านบาทได้ ซึ่งยืนยันว่าไม่ได้หลีกเลี่ยงการใช้คำว่าลงทุน เพราะแต่ละคนต้องลงทุนซื้อสินค้าไปขายอยู่แล้ว
พิธีกรถามอีกว่า การที่บริษัทมีตัวแทนจำหน่ายประมาณ 3-4 แสนยูสเซอร์ หากสั่งสินค้าพร้อมกันทั้งหมด มีสินค้าจริงครบหรือไม่ “บอสพอล” บอกว่า สินค้ามีอยู่จริง แต่ไม่ได้มีอยู่พร้อมกัน เพราะสถานการณ์จริงไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกัน ซึ่งจะไม่เกิดเหตุการณ์ซื้อพร้อมกัน 4 แสนยูสเซอร์อยู่แล้ว
เมื่อถามว่าตำรวจเข้าตรวจสอบโกดังทำไมมีสินค้าไม่มาก “บอสพอล” บอกว่า พอมีการออกข่าวเรื่องบริษัทไป หลายคนก็มีความกังวล ก็เลยมีการกดเบิกสินค้า จากปกติเบิก 100% เพิ่มขึ้นเป็น 1000% ซึ่งก็เป็นการทำงานที่เราไม่เคยรับมือมากก่อนก็เลยต้องเอาทีมงานเข้าไปมากขึ้น ซึ่งภาพที่เห็นก็คือภาพที่คลังสินค้าถูกกดเบิกออกไปแล้ว แต่หากย้อนดูกล้องวงจรปิดก่อนหน้านั้นแค่วีนเดียว จะเห็นว่ามีสินค้าอยู่เต็มเลย ซึ่งยืนยันว่ามีการส่งสินค้าออกจากคลังเป็นล้านลังเลย
ส่วนกรณีดาราที่เกี่ยวข้องนั้น “บอสพอล” บอกว่า เป็นพรีเซ็นเตอร์ นำเสนอสินค้า ซึ่งก็จะดูว่าแต่ละสินคแหมาะกับดาราคนไหน หากสนใจก็ทำงานด้วยกัน ถ้าไม่สนใจก็ไม่รับ เมื่อพิธีกรถามย้ำว่าการจ้างเป็นพรีเซ็นเตอร์นั้นในสัญญาได้ระบุหรือไม่ว่าให้ชวนคนมาร่วมลงทุน “บอสพอล” บอกว่า ไม่มี ส่วนที่ดาราชวนมาร่วมทำธุรกิจกับบริษัท ก็คือการซื้อสินค้า ซึ่งตนก็ได้บอกให้ กันต์ช่วยพูดแนะนำให้คนเข้ามาขายสินค้าออนไลน์ ทั้งนี้หากตนไหว้วานแล้วเขาจะพูดหรือไม่พูดก็ได้ ส่วนกรณีดาราที่โดนคดีความนั้น “บอสพอล” บอกว่า ตนสงสารน้องๆมากเลย เขาก็เครียดมากๆกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ส่วนที่มีคนมองว่าอาจจะเข้ากฎหมายเกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่ โดย “บอสพอล” บอกว่า “ผมไม่มีความรู้เรื่องแชร์ลูกโซ่ เพราะผมไม่ได้ทำแบบนั้น สิ่งที่ผมทำคือทำธุรกิจ สั่งสินค้ามาแล้วก็ขายสินค้า”
ส่วนกรณีมีกลุ่มผู้เสียหายออกมาร้องเรียนในวันนี้นั้น “บอสพอล” บอกว่า ตนไปสืบดูพบว่ามีกลุ่มตัวแทนที่เขาเอาของไปตัดราคาในตลาด ซึ่งมันกระทบเป็นวงกว้างเพราะคนอื่นก็ต้องขายของ พอตนทำโนติสไปแจ้งเขาก็อาจจะไม่พอใจตน แล้วก็ไปตั้งกลุ่ม เริ่มโหมไฟกันในกลุ่ม เริ่มส่งข้อมูลต่างๆที่ทิ่มแทงหรือประณามตนได้ให้กับเพจต่างๆ ในลักษณะเป็นขบวนการ
ส่วนเรื่องผู้เสียหายในขณะนี้ “บอสพอล” บอกว่า หากเขาเป็นผู้เสียหายจริงก็สามารถติดต่อตรงกับบริษัทได้อยู่แล้ว แต่เขาไม่ทำ เขาไปทำอีกลักษณะหนึ่งแทน อย่างไรก็ตามสำหรับผู้เสียหายเราจะตั้งศูนย์เยียวยาที่บริษัทแล้วมาดูว่าใครซื้ออะไรไปบ้างใครเสียหายในลักษณะไหนอย่างไร โดยการเยียวยาจะเริ่มต้นเก็บข้อมูลเลย ทั้งนี้ยืนยันว่าตนพร้อมเข้าสู่กระบวนการ
เมื่อถามว่าทรัพย์สินยังอยู่หรือไม่ “บอสพอล” บอกว่า ในส่วนของรถยนต์หรูนั้นยังอยู่ ส่วนนาฬิกาก็มีขายไปบ้างเพราะตนเอาเงินไปซื้อที่ดิน
ส่วนกรณี “บอสหมอเอก” นั้น “บอสพอล” บอกว่า ตั้งแต่วันแรกเขาก็ไม่เคยบอกตนว่าแอบอ้างว่าเขาหมอ เขาก็บอกว่าเขาเป็นนักเทคนิกการแพทย์ แต่เวลาไปเรียกจะให้เรียกเทคนิกการแพทย์เอกมันยาวเกิน ตนก็เลยเรียกหมอเอกตั้งแต่วันแรกที่เจอกัน ส่วนนักเทคนิกการแพทย์สามารถใส่หูฟังตรวจอาการคนไข้ได้หรือไม่นั้น ตนไม่รู้เหมือนกัน