กรณีศาลปกครองสูดสุดสั่งยกคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ หักพาล อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่เมื่อวานนี้กระแสข่าวมีความสับสน
ล่าสุดพีพีทีวี พูดคุยกับ นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อัยการอาวุโส สำนักงานการสอบสวน สำนักงานอัยการสูงสุด ยืนยันว่าคำสั่งของศาลปกครองเมื่อวานนี้ มีผลเพียงแค่ “บิ๊กโจ๊ก” ยังไม่สามารถกลับไปปฏิบัติหน้าที่ตำรวจได้ในตอนนี้เท่านั้น แต่ไม่ใช่การปิดทางกลับเข้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
แฉคลิปเสียงใหม่! หญิงปริศนาคุย “บอสพอล” อ้าง “รัฐมนตรีน้ำ” ให้คุม สคบ.
ศาลปกครองสูงสุดนัดถก เยียวยา “บิ๊กโจ๊ก” กลับตร.
ดูบอลสด อุ่นเครื่อง ฟีฟ่า เดย์ ไทย พบ เลบานอน 14 พ.ย.67
โดยนายปรเมศวร์ วิเคราะห์ถึงกระบวนการที่ศาลปกครองสูงสุดจะมีคำวินิจฉัยออกมาว่าคำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อนนั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ น่าจะใช้เวลาหลังจากนี้อีกราวๆ เกือบ 1 ปี จึงจะมีคำวินิจฉัย ซึ่งกระบวนการพิจารณาคดีนี้ของศาลปกครองสูงสุด มี 2 ส่วนที่ศาลฯ จะต้องพิจารณา คือ
1. “คำฟ้อง” ที่ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ยื่นว่าคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งประเด็นนี้ศาลฯ ยังไม่ได้มีคำวินิจฉัยตัดสินชี้ขาดออกมา
2. “คำร้อง” ที่ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ขอคุ้มครองชั่วคราว จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา ซึ่งศาลฯ มีคำสั่งออกมาเมื่อวานนี้ พิจารณาแล้ว สั่งไม่คุ้มครอง นั่นหมายความว่า จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยคำฟ้องหลักเรื่องคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ จะยังกลับไปทำหน้าที่ตำรวจไม่ได้
โดยกระบวนการพิจารณาของศาลฯ จะพิจารณา “คำร้อง” ขอคุ้มครองชั่วคราวก่อน ซึ่งที่ผ่านมาที่ใช้ระยะเวลาหลักเดือน เพราะโดยปกติศาลจะไม่วินิจฉัยโดยทันที แต่จะต้องฟังความทั้ง 2 ฝ่ายก่อน จึงค่อยพิจารณาว่าทำไม พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ จึงยังไม่ควรกลับเข้าไปปฏิบัติหน้าที่
ส่วนขั้นตอนการพิจารณาจะมีองค์คณะ 5 คน ที่เป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีนี้โดยตรง ตามกระแสข่าวว่าองค์คณะชุดแรกเห็นว่าควรคุ้มครองชั่วคราว จากนั้นมีการเสนอประธานศาลปกครองสูงสุด ที่มองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ จึงเรียกประชุมที่ประชุมใหญ่ของศาลปกครองสูงสุด อภิปรายถกกันจนมีมติว่าไม่ต้องคุ้มครองก็ได้ จึงยกคำร้อง ซึ่งนายปรเมศวร์ ย้ำว่า เป็นกระบวนการปกติของศาลปกครองสูงสุด
จากนั้น ถึงจะเป็นการพิจารณา “คำฟ้อง” ว่าคำสั่งให้ออกจากราชการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่ง นายปรเมศวร์ อธิบายว่า ผู้ที่ถูกฟ้องเช่น ผบ.ตร., ก.ตร., ก.พ.ค.ตร. หรือ นายกฯ ก็ต้องทำคำให้การชี้แจง เมื่อฝ่ายผู้ถูกฟ้องทำคำให้การชี้แจงมา ศาลปกครองสูงสุดก็จะส่งกลับไปให้ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ เพื่อถามว่ามีอะไรจะทักท้วงหรือไม่ ซึ่ง พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ สามารถทักท้วงได้อีกรอบ ขั้นตอนนี้จะใช้เวลา 3-6 เดือน แล้วแต่ว่าจะมีการขยายระยะเวลาหรือไม่
ทั้งนี้ นายปรเมศวร์ บอกอีกว่า หลังจากนั้นศาลฯ จะแสวงหาข้อเท็จจริงเอง โดยอาจเรียกเอกสารหรือพยานมาดู จากนั้นตุลาการผู้แถลงคดีจะเป็นคนตรวจสำนวนทั้งหมดและทำแนวคำพิพากษา ซึ่งวันนั้นจะมีการแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีและผู้ถูกฟ้องคดีไปที่ศาล และจะอ่านให้ฟังว่าเจ้าของสำนวนมีความเห็นอย่างไร จะคัดค้านอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่ หากทั้งฝั่งผู้ฟ้องและผู้ถูกฟ้องไม่คัดค้านเพิ่มเติม ก็จะนำแนวคำพิพากษาไปเสนอองค์คณะอีก 4 คน อีก 4 คนมีความเห็นอย่างไรก็ตัดสินไปตามนั้น
โดยคำสั่งไม่คุ้มครองชั่วคราวที่ออกมา นายปรเมศวร์ มองว่า ไม่ได้สะท้อนทิศทางการตัดสินคำฟ้องหลัก เพราะที่ผ่านมาก็มีบางคดีที่ศาลฯ สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ทำให้คนวิเคราะห์กันไปว่าผิดแน่ๆ แต่สุดท้ายวินิจฉัยว่าไม่ผิดในคดีหลัก อย่างเช่นคดี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ครบ 8 ปี หรือไม่
นายปรเมศวร์ ยังบอกอีกว่า แม้สุดท้ายศาลฯ จะวินิจฉัยว่าคำสั่งให้ออกจากราชไว้ก่อนชอบด้วยกฎหมาย แต่ก็ยังมีอีกช่องที่ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ จะกลับเข้ารับราชการ ก็คือต้องรอฟังผลการพิจารณาคดีหลักเรื่องเว็บพนันที่อยู่ในขั้นตอนของ ป.ป.ช. ว่าจะมีความเห็นอย่างไร จะมีการชี้มูลความผิดวินัยหรืออาญาหรือไม่
ส่วนกรณีของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ จะเทียบเคียงกับกรณี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ที่เคยถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อน ในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช แต่สุดท้ายก็พลิกกลับมาชนะคดีและศาลสั่งให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติชดใช้ค่าเสียหาย ได้หรือไม่ นายปรเมศวร์ มองว่า ไม่ใช่แค่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ แต่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล อดีต รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. ก็เคยเผชิญชะตากรรมแบบเดียวกัน สุดท้ายทั้ง 3 คนก็ชนะคดี อย่างไรก็ตาม คดีที่ผู้ฟ้องเป็นฝ่ายแพ้ก็มี เพียงแต่อาจไม่ได้เป็นข่าวดัง เป็นตำรวจชั้นผู้น้อย หรือเป็นข้าราชการในหน่วยงานอื่น
โดยนายปรเมศวร์ ยอมรับว่า ในอดีตที่ผ่านมา คดีลักษณะเดียวกันที่เป็นระดับรอง ผบ.ตร. หรือ ผบ.ตร ถูกสั่งให้ออกจากราชการนั้น สุดท้ายมักจะได้กลับเข้ามา แต่กรณีของ พล.ต.อ.สุรเชชษฐ์ ตนเองไม่รู้ อย่างที่ตนเองเคยเสนอความเห็นไปตั้งแต่ตอนต้นว่าเห็นด้วยกับความเห็นของกฤษฎีกามากกว่าตำรวจ ก็ต้องรอดูว่าศาลฯ จะตัดสินตามกฤษฎีกาหรือตามตำรวจ
อย่างไรก็ตามแม้ว่าคำวินิจฉัยชี้ขาดของศาลปกครองสูงสุดจะออกมาอย่างไร นายปรเมศวร์ มองว่า จะส่งผลเสียกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากตัดสินว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติทำถูก สำนักงานกฤษฎีกาก็จะเสียหาย เพราะจะแสดงว่ากฤษฎีกาให้คำแนะนำข้อกฎหมายแก่รัฐบาลไม่ถูกต้อง แต่หากตัดสินว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติทำผิด สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็จะเสียหายในฐานะที่เป็นผู้บังคับใช้กฎหมายแต่ไปตีความกฎหมายผิดเสียเอง มองว่าเรื่องนี้พลาดตั้งแต่ตอนที่ตำรวจออกคำสั่งโดยที่ไม่ฟังกฤษฎีกาแล้ว ซึ่งต้องรอดูราว 1 ปีหลังจากนี้ ว่าผลคดีจะออกมาอย่างไร