จับตา! ข้อมูลใหม่ "ทนายตั้ม" ตั้งตนเป็น ผจก.มรดกเจ๊อ้อย

โดย PPTV Online

เผยแพร่

เมื่อวาน อ.ปานเทพ เข้าให้ข้อมูลในฐานะพยานสิ้อมวลชนที่ได้รับข้อมูลจากเจ๊อ้อย ซึ่ง อ.ปานเทพ ก็ได้เปิดเผยความคืบหน้าคดี 39 ล้าน ที่จะเป็นข้อพิสูจน์พฤติกรรมฉ้อโกงเป็นปกติธุระ เชื่อมโยงไปถึงคดี 71 ล้าน

นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ซึ่งเข้าให้ปากคำในฐานะพยานคดี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ “ทนายตั้ม” ฉ้อโกง เจ๊อ้อย บอกว่า ได้มีการสัมภาษณ์เจ๊อ้อยเพิ่มก่อนจะเดินทางกลับประเทศฝรั่งเศส ซึ่งนายสนธิ ลิ้มทองกุล จะทยอยนำมาเผยแพร่ เริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้ 

โดยจะเปิดคลิปที่เกี่ยวข้องกับคดี ในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งขณะนี้มั่นใจแล้วว่ากรณีเงิน 39 ล้านบาท ที่อีกฝ่ายพยายามอ้างว่าแสกมเมอร์ดูดเงินไปนั้น มีความชัดเจนว่า มีการแบ่งเงินกันเท่าไหร่  

 

 

ทนายตั้ม ช่างภาพพีพีทีวี
จับตา! ข้อมูลใหม่ "ทนายตั้ม" ตั้งตนเป็น ผจก.มรดกเจ๊อ้อย

เจ๊อ้อย ได้ทราบข้อเท็จจริงแล้ว และตำรวจก็ทราบแล้วเช่นกัน จึงเชื่อว่า คดีนี้จะคลี่คลายในเร็ววัน 

คดี 39 ล้านนั้น  อ.ปานเทพ บอกว่า  จะทำให้เห็นชัดเจนว่าทั้งหมดเป็นกระบวนการหลอกลวงหรือไม่ ซึ่งขณะนี้รู้แม้กระทั่งว่าเงิน 2 ล้านบาทแรก ที่อ้างว่าโอนไปที่ดาราจีน แท้จริงแล้ว มีการโอนเงินเพียงแค่ 1 ครั้ง ในมูลค่า 100,000 บาทเท่านั้น 

วันหยุดธันวาคม 2567 เช็กวันสำคัญ - วางแผนลา หยุดยาวได้มากถึง 11 วัน

5 สิ่งใหม่ คาดมาใน Samsung Galaxy S25 Ultra

ส่วนเงินที่เหลือเป็นเรื่องโกหก และนำเงินไปเฉยๆ รวมถึงมีการแจ้งความเท็จในเวลาต่อมา ที่สำคัญ เงิน 39 ล้านบาท แบ่งเงินแล้วชัดเจน และมีก้อนหนึ่งที่เป็นเงิน 20 ล้านบาท ที่แบ่งสันปันส่วน มีขบวนการขนเงินกันอย่างชัดเจน สร้างหลักฐานว่าอยู่เมืองนอก 

ทนายตั้ม จะอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้ เพราะอย่างน้อยตัวเองก็มีการพูดคุยโทรศัพท์ติดต่อผ่านแอปพลิเคชันไลน์ จึงเชื่อว่าคดีนี้จะคืบหน้า และจะเป็นพฤติกรรมที่ร้อยเรียงเรื่องราวสอดรับกับคดี 71 ล้านบาท อย่างแน่นอน

อีกประเด็นที่จะมีการเปิดข้อมูลเพิ่ม คือ กรณีทนายตั้มมีความพยายามจะนำลูกมาเป็นบุตรบุญธรรมของพี่อ้อย ซึ่งพบว่า มีขบวนการก่อนหน้านั้น คือ การทำพินัยกรรม และ
ให้ทนายตั้มเป็นผู้จัดการมรดก โดยเฉพาะครั้งแรกยังไม่มีผู้จัดการมรดก โดยครั้งที่ 2 สำนักงานทนายความษิทรา มีการแปลงเป็นผู้จัดการมรดก แล้วยังพบว่า มีพฤติการณ์ที่ตามมาหลังจากนั้น ทั้งเรื่องของการติด GPS ในรถของ เจ๊อ้อย จนทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย และยังชวนไปในสถานที่ต่างๆ ที่อาจจะไม่มีสัญญาณ GPS ซึ่งเจ๊อ้อยได้ปฏิเสธทั้งหมด

แม้ขณะนี้มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องพินัยกรรมแล้ว แต่ทนายตั้มยังไม่คืนพินัยกรรมฉบับก่อนไว้เลย อ้างว่าได้ทำลายไปแล้ว แต่ก็ไม่เคยทำลายให้เห็นต่อหน้า ซึ่ง ข้อมูลทั้งหมดจะถูกนำมาประกอบคดี ให้มีความแน่นหนามากขึ้นในข้อหาฉ้อโกงเป็นปกติธุระ ส่วนลักษณะฉ้อโกงเป็นอย่างไรจะเปิดให้ฟังในรายการสนธิทอล์คอีกครั้งหนึ่ง

โดยคดีนี้เริ่มปี 2565 และยกเลิกใน 2567 ซึ่งกว่า เจ๊อ้อย จะรู้เรื่องทั้งหมดได้ก็เมื่อมีปัญหา จึงเป็นที่มาของการยกเลิกในภายหลัง  เมื่อพบพฤติกรรมผิดปกติ จึงได้ไปทำพินัยกรรมฉบับที่ 3 กับหน่วยงานภาครัฐแล้ว ฉะนั้น พินัยกรรมฉบับเก่าจึงไม่ผูกพัน 
และเจ๊อ้อยมีเจตนาที่ต้องการจะยกเลิกอย่างชัดเจน เพราะพบว่า มีความผิดปกติ
ในหลายกรณี ทั้งเรื่องของการใช้เงิน, การใช้รถหรู และกรณี 71 ล้านบาท จึงคิดว่าต้องมีการยุติอะไรบางอย่างเกิดขึ้น

โดยพยานปากหนึ่งที่สำคัญคือพี่สาวของภรรยาทนายตั้ม  ซึ่งมาให้การกับตำรวจแล้ว เชื่อว่า ไม่น่าจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด แต่น่าจะเป็นที่พักเงิน หรือให้ทำธุรกรรมบางอย่างที่เจ้าตัวไม่รู้ก็เป็นไปได้ ซึ่งหากให้การที่ประโยชน์ก็จะส่งผลดีต่อตัวพยานเอง และ หากอยู่ในฐานะพยานต้องแสดงความบริสุทธิ์ใจ และหากดูศักยภาพของบุคคลนี้ ก็เชื่อว่า เจ้าตัวไม่มีศักยภาพที่จะเล่นกลอุบายหรือบิดคดีช่วยใคร และน่าจะเป็นผู้ที่ให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีส่วนพยานอื่นๆ ก็มีการสอบไปเยอะเช่นกัน และเชื่อว่า น่าจะมีความคืบหน้าในรูปของ
คดี  


 

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

PPTVHD36

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ