จากกรณีนายธนดล สุวัณณะฤทธิ์ ที่ปรึกษา รมว.กระทรวงเกษตรฯออกมาแฉบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกรณีไร่ภูนับดาวนั้น ล่าสุด นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล อดีตประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์กระทรวงเกษตรฯ ได้ออกมาปฎิเสธว่าไม่ได้รู้จักกับไร่ภูนับดาวเป็นการส่วนตัว และไม่ได้เป็นญาติกันด้วย
พร้อมกันนั้นยังมีการเอาเอกสารมาเปิด โดยเฉพาะหนังสือขอความเป็นธรรมจากไร่ภูนับดาว ก่อนจะบอกว่า หนังสือนี้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตรมว.เกษตรฯ ก็ได้รับ เพราะฉะนั้น ถ้า ตนเองผิด ร.อ.ธรรมนัสก็ผิดด้วย
โดยเอกสารที่นายวิชิต ส่งมาให้ทีมข่าว PPTVHD36 ดูเป็นหนังสือขอความเป็นธรรม ที่ ผู้ถือครองส.ป.ก. ในพื้นที่ไร่ภูนับดาว จำนวน 5 รายส่งมาให้นายวิชิต ในฐานะ ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ กระทรวงเกษตรฯ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2567 ที่มา โดยเอกสารมีทั้งหมด 12 หน้า เนื้อหาระบุว่า "ขอความเป็นธรรมกับ นายวิชิต กรณีที่ นายธนดล นำหน่วยงานต่างๆเข้ามาจับกุมทำให้ได้รับความเดือดร้อน ต้องปิดกิจการเป็นการชั่วคราว สูญเสียรายได้ " โดยบรรดาผู้ขอความเป็นธรรมต่างแนบเอกสารหลักฐานการถือครองที่ดิน และมีภาพถ่ายสภาพพื้นที่ ของไร่ภูนับดาวมาให้ด้วย
นายวิชิตบอกว่า ประเด็นที่ เกษตรกรร้องเรียนมา เรื่องนี้ ตนไม่ได้รู้เรื่องคนเดียวอย่างที่นายธนดลว่า เจ้ากระทรวงอย่าง ร.อ.ธรรมนัส ที่ขณะนั้นเป็น รมว.เกษตร ก็รับรู้ด้วย เพราะ เกษตรกรทำหนังสือมา 2 ฉบับ ถึง นายวิชิต และ ร.อ.ธรรมนัส
โดยนายวิชิต ยืนยันหลักฐานด้วยภาพนี้ ภาพหนังสืออีกฉบับที่เกษตรกรส่งถึง ร.อ.ธรรมนัส วันที่ 13 มิ.ย. 2567 และ มีเจ้าหน้าที่กระทรวง เซ็นรับเอกสารแล้ว
“เขาอาจจะเข้าใจอะไรคาดเคลื่อนหรือว่าอาจจะเจตนาที่จะพูดเท็จหรือเรียกว่าโกหกคำโต ก็คือเรื่องของเอกสารที่มีการร้องทุกข์ร้องเรียนเขาบอกไม่มีในกระทรวง แล้วทำไมผมถึงต้องไปรับร้องทุกข์คนเดียวโดยไม่ผ่านท่านธรรมนัส พรหมเผ่า ซึ่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ ผมก็ได้เรียนว่ามีเอกสาร ที่เขามาร้องทุกข์กับผมวันเดียวกันที่ไปร้องทุกข์กับท่านรัฐมนตรีธรรมนัส พรหมเผ่า วันเดียวกันเลยครับ”นายวิชิตกล่าว
นอกจากประเด็นเรื่องเอกสารขอความเป็นธรรม 2 ฉบับ นายวิชิตพยายามจะอธิบายว่า คนที่มีอำนาจสั่งการส.ป.ก.ไม่ใช่ตนเองที่เป็นแค่ประธานยุทธศาสตร์ โดยนายวิชิต นำหนังสือที่ทางส.ป.ก.ตอบกลับเกษตรกรที่ร้องขอความเป็นธรรมมาแสดง และชี้ให้เห็นว่า ข้อความในหนังสือที่ระบุว่า ตามหนังสือที่ท่านได้ขอความเป็นธรรมเรื่องการถือครองที่ดินส.ป.ก. ต่อ "รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์" และย่อหน้าต่อมาที่ระบุว่า "กระทรวงเกษตรฯ ได้มอบหมายให้ ส.ป.ก.พิจารณาดำเนินการตรวจสอบ " ซึ่งจุดนี้นายวิชิตบอกว่า ข้อความในหนังสือเป็นเครื่องยืนยันว่าคนสั่งการ ส.ป.ก.คือร.อ.ธรรมนัส
นอกจากนี้ นายวิชิตยังบอกว่า หากดูไทม์ไลน์ จะพบว่า ตนเองไม่ได้มีอำนาจใดๆในการสั่งการ เนื่องจากวันที่ 8 ม.ค. 2567 นายวิชิต ถูกแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์กระทรวงเกษตรฯ จากนั้นวันที่ 29 พ.ค.2567 นายธนดล ได้ลงพื้นที่ไร่ภูนับดาวพร้อม 4 หน่วยงาน และสั่งให้รื้ออาคาร ภายใน 30 วัน กระทั่งวันที่ 13 มิ.ย. 2567 มีเกษตรกรยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม และในวันที่ 14 ส.ค. 2567 คณะยุทธศาสตร์ฯ สิ้นสุดพร้อมคณะรัฐมนตรี (เศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกฯ) ซึ่งเท่ากับว่านายวิชิตก็พ้นจากตำแหน่งประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์
แต่หลังจากนั้น วันที่ 19 ส.ค 2567 ส.ป.ก.มีหนังสือตอบกลับ เกษตรที่ร้องเรียน ซึ่งตอนนั้น ร.อ.ธรรมนัส ยังเป็น รมว.เกษตรฯ ยังไม่มีการปรับครม. จากนั้นวันที่ 29 ส.ค 2567 คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดสระบุรี มีมติอนุญาตให้มีการใช้ที่ดินฯ โดยการเช่า ซึ่งเป็นที่ดินแปลงเดียวกันกับที่ประกอบกิจการไร่ภูนับดาว กระทั่งวันที่ 13 พ.ย.2567 ส.ป.ก.ส่วนกลางแจ้งให้ ส.ป.ก.สระบุรี ตรวจสอบข้อเท็จจริงและนำข้อเท็จจริงเสนอ คปจ.สระบุรี พิจารณาทบทวนคำสั่งอนุญาตให้ใช้ที่ดิน เพราะใช้ที่ดินผิดวัตถุประสงค์ ก่อสร้างอาคาร ร้านอาหาร
“ท่านธรรมนัสเป็นคนสั่งการครับให้ไปพิจารณาหนังสือร้องทุกข์ของเกษตรกรทั้ง 3 -4 ราย ถ้าผมจำไม่ผิด และปรากฎว่ามีการพิจารณาแล้วทางเลขาฯส.ป.ก.โดยคำสั่งของท่านรัฐมนตรีตามที่ท่านไปร้องทุกข์กับท่านรัฐมนตรีก็ให้ยกคำร้อง ก็หมายถึงว่าให้ไปอุทธรณ์เอา คือเรื่องนี้ผมไม่ใช่เป็นคนรับเรื่องร้องทุกข์คนเดียวหรอกครับ ท่านธรรมนัสเองก็เป็นคนรับเรื่องร้องทุกข์ด้วยครับ”
นายวิชิต บอกว่าที่พยายามแจกแจงมาทั้งหมด ต้องการจะบอกว่า คนที่มีอำนาจสั่งการเรื่องนี้ ไม่ใช่ตนเอง แต่เป็น ร.อ.ธรรมนัส และในหนังสือตอบกลับเกษตรกรก็ระบุชัดเจน ว่า พบว่ามีการใช้ที่ดินผิดวัตถุประสงค์ มีการเปลี่ยนแปลงสภาพที่ดิน ก่อสร้างอาคาร และแจ้งให้เกษตรกรใช้สิทธิแก้ไขทำให้ที่ดินกลับสู่สภาพเดิม ไม่มีตรงไหนที่เอื้อประโยชน์อย่างที่ นายธนดลว่า นายวิชิตก็ย้ำว่า หากตัวเองผิด ร.อ.ธรรมนัสก็ผิด ในฐานะคนสั่งการ
“ทั้งหมดก็ขอเรียนว่าคุณธนดลที่บอกว่าประสบความสำเร็จในการลากผมเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยผมก็ต้องเรียนว่า ถ้าลากผมเข้ามายุ่งเกี่ยวเพราะมีการร้องทุกข์มาที่ผมก็เท่ากับลากท่านธรรมนัส พรหมเผ่า เข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย ซึ่งถ้าผมทุจริตผมสั่งให้ทำตามกฎหมายหารือเรื่องให้ทำตามขั้นตอนเพื่อพี่น้องเกษตรกรเรา ถ้ามันผิด ท่านธรรมนัสก็น่าจะผิดกับผมด้วย เพราะเป็นคนรับเรื่องร้องทุกข์และสั่งการส.ป.ก.เช่นเดียวกัน”
เมื่อวานนี้ นายวิชิต บอกว่าแจ้งเรื่องนี้กับร.อ.ธรรมนัสไปแล้ว แต่ตอนนี้ร.อ.ธรรมนัสอยู่ต่างประเทศ ซึ่งบอกว่า กลับมาค่อยคุยกัน ไม่รู้ว่าตอนนี้ นายวิชิตได้คุยกับร.อ.ธรรมนัสหรือยัง