จากกรณีสมาร์ทโฟน 2 ยี่ห้อติดตั้งแอปพลิเคชันกู้เงิน “สินเชื่อความสุข” และ “Fineasy” มากับโทรศัพท์มือถือ และไม่สามารถถอนการติดตั้งได้ จนกลายเป็นประเด็นร้อนในช่วงที่ผ่านมา
ล่าสุด มีผู้เสียหาย ที่หลวมตัวกู้เงินผ่านแอปพลิเคชันดังกล่าวออกมาแฉ บอกว่า ตั้งใจกู้เงิน 50,000 บาท แต่ท้ายที่สุดต้องหาเงินมาหมุนจ่ายดอก รวมแล้วกว่า 700,000 บาท ซ้ำถูกล้วงข้อมูลส่วนบุคคลตามทวงหนี้กับคนใกล้ชิดด้วย ทำให้สภาพจิตใจแย่ถึงขั้นคิดจบชีวิตตัวเอง
โดย นางสาวเอ๋ (นามสมมติ) ผู้เสียหายจากแอปพลิเคชัน “สินเชื่อความสุข” เล่าให้ทีมข่าวพีพีทีวี ฟังว่า เธอใช้โทรศัพท์แบรนด์ OPPO ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ ซึ่งที่ผ่านมาก็เห็นว่ามีป๊อบอัพโฆษณาแนะนำแอพพลิเคชัน “สินเชื่อความสุข” ขึ้นมาอยู่ตลอด แต่ไม่ได้สนใจอะไร กระทั่งช่วงปลายเดือนตุลาคม 2567 เธอต้องการใช้เงิน จึงลองกดเข้าไปดู เพราะคิดว่าน่าจะเป็นแอปพลิเคชันปลอดภัย ปรากฏว่าแค่กดป๊อปอัพโฆษณา โทรศัพท์ก็ติดตั้งแอปฯ ให้อัตโนมัติ
โดยหน้าแรกของแอปฯสินเชื่อความสุข จะระบุวงเงินว่าสามารถกู้เงินได้จำนวน 50,000บาท หลังจากนั้นก็ให้ลงทะเบียน กรอกหมายเลขโทรศัพท์มือถือ ข้อมูลธนาคารที่จะรับเงินกู้ และ ถ่ายภาพเซลฟี่คู่กับบัตรประชาชน จากนั้นก็จะบังคับให้กดยืนยันให้แอปฯนี้สามารถเข้าถึงข้อมูลในโทรศัพท์ได้ ทั้งเบอร์ติดต่อ และ GPS ซึ่งลักษณะเหมือนเป็นการบังคับ เพราะหากไม่กดยืนยันก็จะไม่สามารถเข้าไปกู้เงินในแอปฯได้
เมื่อลงทะเบียนแล้วเสร็จในแอปฯ จะมีรายละเอียดผู้ให้บริการเงินกู้ไม่ต่ำกว่า 10 เจ้า ไม่ได้เป็นลักษณะกู้เงินเจ้าเดียวแล้วได้ 50,000 บาทเลย อีกทั้งจะถูกหักดอกเบี้ยทันทีประมาณ 40% ไม่ได้เงินครบจำนวนที่ต้องการ เช่น ต้องการเงิน 50,000 บาท ต้องกู้เพิ่มเป็น 80,000 บาท
เมื่อกดกู้เงินไปแล้วไม่ถึง 10 นาที ก็จะมีเงินเข้าบัญชีธนาคารที่ลงทะเบียนไว้ ซึ่งในแอปฯ ระบุว่าจะต้องใช้หนี้ภายใน 7 วัน แต่ปรากฏว่าผ่านไปแค่ 5วัน ก็มีคนโทรศัพท์ทวงหนี้แล้ว แถมพูดจาไม่ดี ด่าหยาบคาย กดดันให้รีบใช้หนี้
ขณะเดียวกันก็เริ่มมีสินเชื่อเจ้าอื่นๆ ติดต่อผ่านไลน์ส่วนตัวเสนอให้กู้เงิน จนท้ายที่สุดก็ต้องกู้เงินมาหมุนไม่จบไม่สิ้น รวมๆแล้วกว่า 700,000บาท
เธอมองว่า สินเชื่อเงินกู้ในแอปฯและคนที่ติดต่อมา เสนอเงินกู้ทั้งหมด เป็นขบวนการเครื่อข่ายเดียวกัน เพราะรู้ว่าตัวเองต้องการนำเงินไปปิดยอดเงินกู้ในแอปพลิเคชัน อีกทั้งเวลาใช้หนี้คืน ก็มักจะให้คืนในชื่อบัญชีส่วนบุคคลซ้ำกันหลายคน ทั้งที่เป็นสินเชื่อคนละเจ้า
ผู้เสียหายบอกว่า หลังจากกู้ยืมเงินช่วงวันที่ 5 จะมีคนโทรศัพท์ทวงหนี้ ซึ่งขณะนั้นหากเงินไม่พอ ก็จะเสนอให้จ่ายก่อนครึ่งเดียว แล้วให้เวลาหาเงินที่เหลือมาจ่ายคืนภายในสองวัน แต่หากครบกำหนดเจ็ดวันแล้ว ยังไม่สามารถหาเงินมาใช้คืนได้ ก็ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ เงินที่ใช้หนี้ไปแล้วครึ่งนึงถือเป็นโมฆะ ต้องหาเงินที่เหลือมาจ่ายเต็มจำนวนเงินต้นอีกครั้ง ลักษณะแบบหนูปั่นจักรไปเรื่อยๆ
นอกจากนั้นการทวงหนี้ของแอปฯนี้ เธอบอกว่าใช้วิธีเหมือนเล่นสงครามประสาท มีการนำข้อมูลเบอร์โทรศัพท์ของคนรู้จัก โทรไปอ้างว่า เธอใช้ชื่อบุคคลเหล่านี้ในการค้ำประกันเงินกู้ ทำให้เธอเสื่อมเสียชื่อ และใช้วิธีส่งข้อความข่มขู่ แคปภาพจากเฟซบุ๊ก หรือ แม้กระทั่งขู่ว่าจะแฉในโซเชียลว่าตัวเองโกงเงิน จนทำให้สภาพจิตใจย่ำแย่ถึงขั้นคิดฆ่าตัวตาย
ผู้เสียหายบอกว่า ก่อนหน้านี้เคยไปปรึกษาตำรวจ แต่ก็ได้รับวิธีการแก้ไขปัญหา ตำรวจบอกเพียงว่า ตัวเองไม่ใช่เคสแรกมีคนเจอแบบนี้อีกเยอะ ส่วนทนายอาสา ก็บอกว่าให้หนีหนี้ เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ ไม่ต้องไปสนใจ ซึ่งก็ทำไม่ได้เพราะตัวเองยังต้องทำงานอยู่ ท้ายที่สุดเธอเลยตัดสินใจคุยกับญาติ ผู้ใหญ่ และคนใกล้ชิด ซึ่งทุกคนก็ช่วยรวบรวมเงินมาให้ตัวเองไปใช้หนี้ก่อน ตอนนี้ตัวเองเลยจบหนี้กับแอปฯสินเชื่อดังกล่าว แต่ก็ยังต้องทำงานหาเงินใช้หนี้ส่วนนี้อยู่
ผู้เสียหายบอกว่า ส่วนหนึ่งที่ต้องกู้เงินในช่องทางแอปสินเชื่อลักษณะนี้ เป็นเพราะเข้าถึงเงินกู้ในระบบได้ยาก จึงอยากฝากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือรัฐบาลเข้ามาช่วยเรื่องเงินกู้อย่างปลอดภัยให้กับคนตัวเล็กๆด้วย