เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 68 “ทราย สิรณัฐ สก๊อต” หรือ “ทราย สก๊อต” เจ้าของฉายามนุษย์เงือก โพสต์ผ่านเพจ ทราย – Merman กล่าวหาว่า อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ และบริษัททัวร์ ใช้แรงงานเด็กชาวมอแกน
โดยระบุว่า ไม่ได้มีเจตนาพาดพิงใครแต่จะเล่าในสิ่งที่เห็นและเจอ เพื่อหวังว่าจะได้มีการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์เป็นอุทยานเดียวในช่วงระหว่างที่ทรายทำงานเป็นที่ปรึกษาอธิบดีทรายจะหลีกเลี่ยงมากที่สุด เคยไปเกาะนี้แค่ 3 ครั้งและถือว่าไม่อยากกลับไปอีก
โพสต์ต้นเรื่องของ “ทราย”
ทำไมทรายถึงรู้สึกอึดอัด? ครั้งแรกที่ทรายไปเกาะสุรินทร์ก็จะเป็น 3 ปีก่อนหน้านี้ ตอนนั้นทรายได้จองทัวร์ นอนแคมป์บนเกาะและดำน้ำ 3 วัน ทรายไม่ได้ทราบก่อนหน้าว่าทัวร์ที่ทรายจองนี้มีชื่อเสียงในพื้นที่ เพราะเขานำเด็กชาวมอแกนมาเป็นเหมือนทัวร์ไกด์/พนักงานสอนดำน้ำ
น้อง ๆ ชาวมอแกนจะมีประมาณ 5-6 คน อายุตั้งแต่ 12-18 ปี วันหนึ่งน้อง ๆ พานักท่องเที่ยวดำน้ำตั้งแต่ 9 โมงเช้าจนถึงบ่าย 4 โมง เตรียมอุปกรณ์ดำน้ำและดำน้ำถ่ายภาพกับแขก (บางทริปน้อง ๆ ต้องรับมือดูแลกลุ่มลูกค่าทัวร์ 10 คน!)รวมถึงทำหน้าเสิร์ฟอาหารให้แขกและเก็บจาน
ค่าจ้างและค่าตอบแทน? เดือนละ 4,000 บาท และทางเจ้าของทัวร์จะให้ทิปเด็ก ๆ ด้วยการเติมเน็ตโทรศัพท์มือถือของน้อง ๆ เพื่อได้เล่นเกม
ตอนนั้นทรายไปเที่ยวรู้สึกอึดอัดมาก ๆ เพราะในสังคมธรรมดาเขาไม่ได้จ้างเด็กมาเป็นแรงงานและขนาดตอนทานข้าวเที่ยงบริษัททัวร์ดังกล่าวจะไม่ให้น้อง ๆ (จริงสมควรเรียกว่าเด็ก ๆ ) มานั่งทานข้าวด้วยกัน เด็ก ๆ จะต้องนั่งตรงพนักงาน ไม่สามารถมานั่งกับลูกค้าได้
สำหรับลูกค้าที่เป็นผู้หญิงสาว ๆ ทัวร์นี้ก็จะให้เด็กชาวมอแกนผู้ชายถอดเสื้อถ่ายภาพด้วย
เด็กๆชาวมอแกนกลุ่มนี้ จะทำงานทุกฤดูการท่องเที่ยวตามช่วงที่อุทยานเปิด น้อง ๆ จะไป “รับใช้” ทัวร์ทุก ๆ ครั้งที่มีลูกค้าจองมา โดยจะมีผู้ใหญ่ในหมู่บ้านคนหนึ่งที่คอย “เกณฑ์” และ “รวบรวม” น้อง ๆ มารายงานตัวกับทัวร์
ทรายสังเกตว่า สถานการณ์ที่น้อง ๆ มอแกนอยู่ไม่ปลอดภัยเลย หลังจากที่ทัวร์เสร็จ ทรายได้เบอร์ติดต่อน้อง ๆ โดยตรงและจะคอยทักไปถามเรื่องการเป็นอยู่ และชวนมาทำกิจกรรมอาสาสมัครข้างนอกพื้นที่เกาะเพื่อจะได้โอกาสเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ แต่น้อง ๆ จะกล่าวเสมอว่า ต้องถามทางเจ้าของทัวร์และทุกครั้งเจ้าของจะปฏิเสธไม่ให้น้อง ๆ มา
ชาวมอแกนอาศัยอยู่บนหาดเล็ก ๆ บนเกาะสุรินทร์ในเขตอุทยาน ทั้งชุมชนอยู่บนหาดเดียว ยาวประมาณ 230 เมตร ไม่สามารถขยายพื้นที่ได้แม้ว่าประชากรเพิ่มขึ้นตลอดเวลา
ณ วันนี้ พื้นที่หาดที่ชุมชนชาวมอแกนอาศัยมีบ้านเรียงติด ๆ กัน 100 กว่าหลัง ถ้าใครเคยไปเที่ยวเกาะสุรินทร์ก็จะเห็นว่าสภาพสุขอนามัยเป็นสภาพที่ควรตั้งคำถามต่อการเป็นอยู่ของเขา
ครั้งที่ 3 ล่าสุดที่ทรายไปเกาะก็คือตอนที่ทรายได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษา ทรายเลยเอาเรื่องราวนี้เรียนหัวหน้าอุทยานช่วงต้นปีที่แล้ว ทรายเล่าว่า มีบริษัททัวร์ในพื้นที่อุทยานกำลังใช้แรงงานเด็ก ทางหัวหน้าบอกทรายว่า เขาทราบและรู้จักบริษัท (การพูดคุยครั้งนี้ไม่ได้สงผลการเปลี่ยนแปลงใด) เพราะในสำนักงานอุทยานบนเกาะเองเขาก็ได้จ้างชาวมอแกน มาทำงานเก็บกวาด/ทำงานครัว/ทำงานแบกกระสอบข้าว/ขนของ ช่วยงานอุทยานทั้งวัน เมื่อทรายถามพนักงานมอแกนว่าอุทยานให้ค่าตอบแทนเท่าไหร่เขาตอบว่าเดือนละ 4,000-5,000 บาท
อยากเพิ่มข้อมูลให้ทุกคนว่า ชาวมอแกนส่วนใหญ่เป็นคนไทยนะครับ (สมเด็จย่าได้ให้นามสกุลชาวมอแกนว่า “กล้าทะเล” และหลาย ๆ คนในชุมชนมีบัตรประชาชนไทย)
ในช่วงต้นปีที่แล้ว ทรายได้แวะไปช่วยภารกิจอนุรักษ์ของอุทยาน 3 วันเลยได้นึกถึงน้อง ๆ ที่ทรายเคยรู้จักและชวนมาอาสาช่วยงานอุทยานกับทราย แต่น้อง ๆ 6 คนที่ทรายรู้จักในปีที่ผ่านมาตายไป 2 เหลือแค่ 4 คน
แต่สำหรับภารกิจรอบนี้ทรายได้น้องมอแกนมาร่วมกิจกรรมอาสาสมัคร 2 คน ที่เหลือติดงานทัวร์ (รอบอื่น ๆ ที่ชวนน้องมาร่วมกิจกรรมบริษัททัวร์ไม่ให้น้องมาแต่รอบนี้ทรายใช้อำนาจของตำแหน่งกดดันให้เขาปล่อยให้เด็กมา)
ทำไมทรายถึงนำน้อง ๆ มาลองร่วมอาสาและเรียนรู้ในภารกิจของอุทยาน? ชาวมอแกนไทยเป็นแรงบันดาลใจส่วนนึงของหนัง Avatar Way of Water – เพราะชาติพันธุ์ของน้อง ๆ และกรรมพันธุ์ของชาวมอแกนที่อยู่คู่ทะเลมาเสมอเปลี่ยนให้ร้างกายของพวกเขาสามารถกลั้นหายใจใต้น้ำได้นานกว่ามนุษย์ปกติและบางคนมีสายตาใต้น้ำดีมาก ๆ
นี่คือพรสวรรค์ที่ทรายเห็นในตัวน้อง ๆ กับตาจึงอยากให้เขามาช่วยภารกิจ อีกเหตุผลที่ทรายอยากให้น้อง ๆ มาร่วมกิจกรรมด้วยเพราะต้องการให้น้อง ๆ ที่ทรายรู้จักได้มาอยู่ในสายตาของเจ้าหน้าที่อุทยาน (ให้เจ้าหน้าที่เขารู้ว่าทรายรู้จักน้อง ๆ) เพื่อจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับเด็ก ๆ
ภารกิจหลักของเราใน 3 วันนั้นคือการดำน้ำสำรวจปะการังด้วยและเก็บขยะ ซึ่งน้อง ๆ เขาสามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์แม้ว่าจะต้องดำน้ำไป 10 กว่าเมตรเขาสามารถดำลงไปตัดอวนและดึงกลับขึ้นฝั่งเร็วกว่าเจ้าหน้าที่บนเกาะเอง เมื่อเราทำภารกิจสำรวจแนวปะการัง น้อง ๆ สามารถชี้และสังเกตสัตว์ทะเลและเศษอวนเร็วกว่าทุก ๆ คนในกลุ่มทีมงาน
ช่วงเย็นทรายใช้โอกาสนั่งเรือไปที่หมู่บ้านชาวมอแกน และนั่งคุยกับชาวมอแกนท่านหนึ่ง เขาเล่าว่า ชาวมอแกนบนเกาะไม่สามารถสร้างเรือตามรูปทรงของวัฒนธรรมของเขาได้ เพราะถูกกดดันว่าชาวมอแกนต้องซื้อเรือหางยาวจากฝั่งพังงามาทำทัวร์ (เพราะมันไปตามภาพของการท่องเที่ยวของทะเลใต้)
บนเกาะมีโรงเรียนหนึ่งโรงและมีคุณครูอาสาสมัครมาสอนท่านเดียว ครูคนนี้จะต้องสอนทุก ๆ วิชาและด้วยการเดินทางที่ลำบากบางครั้งก็จะไม่ได้มาสอนเด็ก ๆ บนเกาะ จึงสงผลให้เด็ก ๆ มอแกนไม่ได้รับการศึกษาเหมือนเด็กไทยคนอื่น ๆ
หลังจากที่ภารกิจจบและทรายกลับฝั่งทรายได้รายงานอธิบดี เรื่องของการที่อุทยานจ้างชาวมอแกนเดือนละ 4,000-5,000 บาทและมีแรงงานเด็ก
2 เดือนต่อมา น้องชาวมอแกนที่มาช่วยอาสางานกับทรายทักมาบอกว่า น้องอีกคนนึงที่ชื่อว่า น้องชล ถูกรถชนเสียชีวิตระหว่างที่เดินทางในตัวเมืองพังงา (น้อง ชล ได้โอกาสไปฟึกงานกับบริษัททัวร์แถวเกาะสิมิลัน น้องชลยังไม่อายุ 18 ปี)
น้องที่ติดต่อมาอยากให้ทรายช่วยคิดหาทางนำศพน้องชลกลับมาฝังศพที่เกาะสุรินทร์ ทรายเลยบอกน้องเขาว่าจะคุยกับอุทยานให้ แต่ทรายเองรู้สึกหดหู่มากว่าขนาดในกรณีแบบนี้ทำไมน้อง ๆ เขาไม่รู้สึกว่าสามารถขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่บนเกาะได้
ชาวมอแกน (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประชากรคนไทย) เป็นสมาชิกที่สำคัญของสังคมเรา นอกเหนือจากกลยุทธ์และความสามารถทางการดำน้ำของน้อง ๆ วัฒนธรรมและประวัติของชาวมอแกนเป็นสีสันของประเทศไทยที่เตือนให้เราทบทวนถึงความหลากหลายของคำว่า “คนไทย”
ความเป็นอยู่ของชีวิตเขาสมควรคู่ควรกับความสามารถของเขา ทางองค์กรใหญ่ ๆ และภาครัฐควรเพิ่มโอกาสเพื่อสงเสริมและนำความสามารถของเขามาเป็นเอกลักษณ์เด่นที่ยกระดับการท่องเที่ยวทะเลไทยใต้ให้เป็นสีสัน หาไม่ได้ที่อื่น นอกเหนือจากนั้น ชาวมอแกนเป็นบุคคลที่เหมาะสมกับการเป็นเจ้าหน้าที่อุทยานในพื้นที่มาก ๆเพราะเขาเข้าใจพื้นที่ดีกว่าคนอื่น ๆ
ทรายมาเล่าให้ทุกคนฟังเพราะผมสัญญากับตัวเองว่า เมื่อพร้อมและมีโอกาส ทรายจะพูด และอยากให้ชาวมอแกนออกมาเล่าเรื่องราวของเขา อยากให้ทุกคนสนใจของเรื่องราวการเป็นอยู่ของน้อง ๆ ชาวมอแกน เพราะเด็กไทยทุกคนสมควรได้ชีวิตที่มั่นคงและปลอดภัย
อุทยานฯ โต้ไม่เป็นความจริง
หลังโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ได้มีคนเข้ามาแสดงความเห็นจำนวนมาก ทั้งคนที่เห็นด้วยกับทราย และคนที่ไม่เห็นด้วย
ขณะที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ได้ออกมาโต้แย้งข้อกล่าวหาที่ ทราย สก๊อต โพสต์ โดย นายเกรียงไกร เพาะเจริญ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ ชี้แจงว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง
ในเรื่องการอยู่อาศัยของชาวไทยมอแกน นายเกรียงไกรบอกว่า เมื่อก่อนพี่น้องชาวไทยมอแกนจะใช้ชีวิตอยู่บนเรือกะบางเป็นหลัก แล้วในช่วงฤดูมรสุม จะขึ้นมาอาศัยตามเกาะต่าง ๆ โดยทำที่อยู่อาศัยเป็นเพิงพักชั่วคราว
ต่อมาหลังเกิดเหตุการณ์สึนามิ ได้ส่งผลกระทบต่อชาวไทยมอแกนเป็นอย่างมาก ทางอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จึงได้ขอความร่วมมือให้มาอยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งบริเวณอ่าวบอนใหญ่ เกาะสุรินทร์ใต้ เพื่อที่จะได้รับการพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
นอกจากนี้ ในปัจจุบันมีหน่วยงานราชการที่คอยสนับสนุน ดูแลคุณภาพชีวิตและการศึกษาให้แก่ชาวไทยมอแกน มีทั้งศูนย์การเรียนรู้ชาวไทยมอแกน (หลักสูตร กศน.) ครูประจำ 4 อัตรา และศูนย์สาธารณสุขมูลฐาน มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำ 1 อัตราตลอดทั้งปี
ส่วนการจ้างแรงงาน ทางอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ได้จ้างแรงงานชาวไทยมอแกน “ซึ่งทั้งหมดเป็นแรงงานผู้ใหญ่” ในอัตราค่าจ้างวันละ 200-250 บาท เริ่มทำงานเวลาประมาณ 09.00 – 14.00 น. รวม 5 ชั่วโมง โดยจัดอาหารเช้าและกลางวันให้ทุกวัน ซึ่งแต่ละวันชาวไทยมอแกนที่ทำงานกับอุทยานฯ จะนำอาหารกลับไปฝากครอบครัวได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
ทางฝั่งการจ้างของบริษัททัวร์ มีอัตราค่าจ้าง 8,000 – 12,000 บาท ไม่รวมค่าทิปที่ได้จากนักท่องเที่ยว สำหรับเด็ก ๆ จะมากับพ่อแม่หรือญาติที่ทำงานกับทางอุทยานฯ
นายเกรียงไกรชี้ว่า ชาวไทยมอแกนที่ทำงานกับบริษัททัวร์ ส่วนใหญ่จะเป็นคนขับเรือหางยาวพานักท่องเที่ยวไปเล่นน้ำ ซึ่งเด็ก ๆ ก็จะตามมาเล่นน้ำด้วย โดยไม่ได้ตามมาเป็นประจำทุกวัน ทางบริษัททัวร์ยืนยันว่า ไม่มีการจ้างหรือใช้แรงงานเด็ก
ขณะที่การช่วยเหลือเคลื่อนย้ายผู้เสียชีวิต ทางอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ได้ประสานกับ นายตะวัน กล้าทะเล ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่บ้านมอแกน ซึ่งเป็นญาติกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เสียชีวิตแล้ว
นายตะวันแจ้งว่า หลังทราบข่าวการเสียชีวิตของหลาน ได้นำเรือหางยาวส่วนตัวขึ้นฝั่งเพื่อที่จะไปเคลื่อนย้ายร่าง และทำเอกสารต่าง ๆ ไม่ได้มาติดต่อขอความช่วยเหลือจากอุทยานฯ เนื่องจากมองว่า สามารถดำเนินการเคลื่อนย้ายผู้เสียชีวิตได้ด้วยตนเอง ยกเว้นถ้ามีความจำเป็นเร่งด่วนในฤดูมรสุม จึงจะขอรับการสนับสนุนจากทางอุทยานฯ
ด้านประเด็นที่ทรายกล่าวหาว่า มีการใช้ประโยชน์จากเด็ก โดยให้เด็กผู้ชายถอดเสื้อถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยวผู้หญิงนั้น ทางบริษัททัวร์ยืนยันว่า ไม่เคยบังคับหรือจ้างวานเด็กตามที่ถูกกล่าวหา
บริษัททัวร์ระบุว่า วิถีชีวิตของผู้ชายชาวไทยมอแกนที่ขับเรือหางยาว หรือพานักท่องเที่ยวเล่นน้ำ หลังจากทำงานเสร็จ ก็มักจะถอดเสื้อเพื่อให้ตัวแห้ง แต่ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อที่จะถ่ายภาพกับนักท่องเที่ยว
แฉ “ทราย” พาเด็กไปทำคอนเทนต์โดยไม่ขออนุญาต
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 4 พ.ค. หลังจากทรายโพสต์ผ่านเพจเกี่ยวกับชาวไทยมอแกน ก็ได้มีผู้ปกครองพาเด็กหนุ่มอายุ 18 ปีมาพบหัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ เพื่อแจ้งว่า ทราย สก๊อต ชักชวนหลานชายไปดำน้ำเพื่อถ่ายทำคอนเทนต์โดยไม่ขออนุญาต
โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6-9 ก.พ. 2567 ทรายได้แจ้งอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ว่า จะเข้ามาสำรวจ ติดตามสถานภาพทรัพยากรใต้น้ำ และทำกิจกรรมเก็บขยะ
ในช่วงดังกล่าว ทราย สก็อต พร้อมทีมงาน ได้ชักชวนเด็กชาวไทยมอแกน 2 คนไปดำเก็บขยะใต้น้ำ เพื่อถ่ายทำคอนเทนต์
เด็กหนุ่ม 1 ใน 2 คนเล่าว่า ทรายแจ้งว่า จะชวนไปถ่ายทำคอนเทนต์ร่วมกันเก็บขยะใต้ทะเล ใช้วิธีดำน้ำแบบตัวเปล่า (Freediving)
หลังถ่ายทำคอนเทนต์ ทรายไม่ได้ให้ค่าจ้างเป็นเงิน แต่ให้เป็นสิ่งของแทน ได้แก่ แว่นตา กางเกง และเสื้อคนละ 1 ชุด
ในวันต่อมา ทรายจะนัดเด็ก ๆ ไปดำน้ำเก็บขยะอีก แต่เด็ก ๆ บอกว่าเหนื่อย ทรายก็เจรจาชักชวนอีก 2-3 ครั้งขอให้ไปช่วยอีกวัน แต่น้อง ๆ ยืนยันว่า ไปไม่ไหว จึงมีการถ่ายทำคอนเทนต์กับเด็ก ๆ เพียงวันเดียว
ซึ่งการติดต่อเด็กชาวไทยมอแกนไปถ่ายทำคอนเทนต์นี้ ทรายไม่ได้แจ้งให้อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ทราบแต่อย่างใด
โดย ณ เวลา 11.00 น. ของวันที่ 5 พ.ค. 68 ทราย สก๊อต ยังไม่ได้ออกมาชี้แจงเรื่องการถ่ายทำคอนเทนต์ดังกล่าว