สรุปดราม่าร้อน “ทราย สก๊อต” กล่าวหา “หมู่เกาะสุรินทร์” ใช้แรงงานเด็กชาวมอแกน

โดย PPTV Online

เผยแพร่

เรียบเรียงเหตุการณ์ดราม่า “ทราย สก๊อต” ออกมาโพสต์กล่าวหาว่า “อุทยานฯ หมู่เกาะสุรินทร์” และบริษัททัวร์ ใช้แรงงานเด็กชาวมอแกน

เมื่อวันที่ 4 พ.ค. 68 “ทราย สิรณัฐ สก๊อต” หรือ “ทราย สก๊อต” เจ้าของฉายามนุษย์เงือก โพสต์ผ่านเพจ ทราย – Merman กล่าวหาว่า อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ และบริษัททัวร์ ใช้แรงงานเด็กชาวมอแกน

โดยระบุว่า ไม่ได้มีเจตนาพาดพิงใครแต่จะเล่าในสิ่งที่เห็นและเจอ เพื่อหวังว่าจะได้มีการตรวจสอบและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น

อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์เป็นอุทยานเดียวในช่วงระหว่างที่ทรายทำงานเป็นที่ปรึกษาอธิบดีทรายจะหลีกเลี่ยงมากที่สุด เคยไปเกาะนี้แค่ 3 ครั้งและถือว่าไม่อยากกลับไปอีก

คอนเทนต์แนะนำ
เปิดใจ "ทราย สก๊อต" หลังพ้นตำแหน่งที่ปรึกษาอธิบดีอุทยานฯ
เปิดประวัติ “ทราย สก๊อต” อควาแมนเมืองไทย ทายาทสิงห์รุ่น 4 กับภารกิจใต้น้ำ

สรุปดราม่าใหม่ “ทราย สก๊อต” กล่าวหา “หมู่เกาะสุรินทร์” ใช้แรงงานเด็กชาวมอแกน FB/ทราย - Merman
ภาพ ทราย สก๊อต ดำน้ำทำกิจกรรมกับเด็กชาวมอแกน

โพสต์ต้นเรื่องของ “ทราย”

ทำไมทรายถึงรู้สึกอึดอัด? ครั้งแรกที่ทรายไปเกาะสุรินทร์ก็จะเป็น 3 ปีก่อนหน้านี้ ตอนนั้นทรายได้จองทัวร์ นอนแคมป์บนเกาะและดำน้ำ 3 วัน ทรายไม่ได้ทราบก่อนหน้าว่าทัวร์ที่ทรายจองนี้มีชื่อเสียงในพื้นที่ เพราะเขานำเด็กชาวมอแกนมาเป็นเหมือนทัวร์ไกด์/พนักงานสอนดำน้ำ

น้อง ๆ ชาวมอแกนจะมีประมาณ 5-6 คน อายุตั้งแต่ 12-18 ปี วันหนึ่งน้อง ๆ พานักท่องเที่ยวดำน้ำตั้งแต่ 9 โมงเช้าจนถึงบ่าย 4 โมง เตรียมอุปกรณ์ดำน้ำและดำน้ำถ่ายภาพกับแขก (บางทริปน้อง ๆ ต้องรับมือดูแลกลุ่มลูกค่าทัวร์ 10 คน!)รวมถึงทำหน้าเสิร์ฟอาหารให้แขกและเก็บจาน

ค่าจ้างและค่าตอบแทน? เดือนละ 4,000 บาท และทางเจ้าของทัวร์จะให้ทิปเด็ก ๆ ด้วยการเติมเน็ตโทรศัพท์มือถือของน้อง ๆ เพื่อได้เล่นเกม

ตอนนั้นทรายไปเที่ยวรู้สึกอึดอัดมาก ๆ เพราะในสังคมธรรมดาเขาไม่ได้จ้างเด็กมาเป็นแรงงานและขนาดตอนทานข้าวเที่ยงบริษัททัวร์ดังกล่าวจะไม่ให้น้อง ๆ (จริงสมควรเรียกว่าเด็ก ๆ ) มานั่งทานข้าวด้วยกัน เด็ก ๆ จะต้องนั่งตรงพนักงาน ไม่สามารถมานั่งกับลูกค้าได้

สำหรับลูกค้าที่เป็นผู้หญิงสาว ๆ ทัวร์นี้ก็จะให้เด็กชาวมอแกนผู้ชายถอดเสื้อถ่ายภาพด้วย

เด็กๆชาวมอแกนกลุ่มนี้ จะทำงานทุกฤดูการท่องเที่ยวตามช่วงที่อุทยานเปิด น้อง ๆ จะไป “รับใช้” ทัวร์ทุก ๆ ครั้งที่มีลูกค้าจองมา โดยจะมีผู้ใหญ่ในหมู่บ้านคนหนึ่งที่คอย “เกณฑ์” และ “รวบรวม” น้อง ๆ มารายงานตัวกับทัวร์

ทรายสังเกตว่า สถานการณ์ที่น้อง ๆ มอแกนอยู่ไม่ปลอดภัยเลย หลังจากที่ทัวร์เสร็จ ทรายได้เบอร์ติดต่อน้อง ๆ โดยตรงและจะคอยทักไปถามเรื่องการเป็นอยู่ และชวนมาทำกิจกรรมอาสาสมัครข้างนอกพื้นที่เกาะเพื่อจะได้โอกาสเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ แต่น้อง ๆ จะกล่าวเสมอว่า ต้องถามทางเจ้าของทัวร์และทุกครั้งเจ้าของจะปฏิเสธไม่ให้น้อง ๆ มา

ชาวมอแกนอาศัยอยู่บนหาดเล็ก ๆ บนเกาะสุรินทร์ในเขตอุทยาน ทั้งชุมชนอยู่บนหาดเดียว ยาวประมาณ 230 เมตร ไม่สามารถขยายพื้นที่ได้แม้ว่าประชากรเพิ่มขึ้นตลอดเวลา

ณ วันนี้ พื้นที่หาดที่ชุมชนชาวมอแกนอาศัยมีบ้านเรียงติด ๆ กัน 100 กว่าหลัง ถ้าใครเคยไปเที่ยวเกาะสุรินทร์ก็จะเห็นว่าสภาพสุขอนามัยเป็นสภาพที่ควรตั้งคำถามต่อการเป็นอยู่ของเขา

ครั้งที่ 3 ล่าสุดที่ทรายไปเกาะก็คือตอนที่ทรายได้รับการแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษา ทรายเลยเอาเรื่องราวนี้เรียนหัวหน้าอุทยานช่วงต้นปีที่แล้ว ทรายเล่าว่า มีบริษัททัวร์ในพื้นที่อุทยานกำลังใช้แรงงานเด็ก ทางหัวหน้าบอกทรายว่า เขาทราบและรู้จักบริษัท (การพูดคุยครั้งนี้ไม่ได้สงผลการเปลี่ยนแปลงใด) เพราะในสำนักงานอุทยานบนเกาะเองเขาก็ได้จ้างชาวมอแกน มาทำงานเก็บกวาด/ทำงานครัว/ทำงานแบกกระสอบข้าว/ขนของ ช่วยงานอุทยานทั้งวัน เมื่อทรายถามพนักงานมอแกนว่าอุทยานให้ค่าตอบแทนเท่าไหร่เขาตอบว่าเดือนละ 4,000-5,000 บาท

อยากเพิ่มข้อมูลให้ทุกคนว่า ชาวมอแกนส่วนใหญ่เป็นคนไทยนะครับ (สมเด็จย่าได้ให้นามสกุลชาวมอแกนว่า “กล้าทะเล” และหลาย ๆ คนในชุมชนมีบัตรประชาชนไทย)

ในช่วงต้นปีที่แล้ว ทรายได้แวะไปช่วยภารกิจอนุรักษ์ของอุทยาน 3 วันเลยได้นึกถึงน้อง ๆ ที่ทรายเคยรู้จักและชวนมาอาสาช่วยงานอุทยานกับทราย แต่น้อง ๆ 6 คนที่ทรายรู้จักในปีที่ผ่านมาตายไป 2 เหลือแค่ 4 คน

แต่สำหรับภารกิจรอบนี้ทรายได้น้องมอแกนมาร่วมกิจกรรมอาสาสมัคร 2 คน ที่เหลือติดงานทัวร์ (รอบอื่น ๆ ที่ชวนน้องมาร่วมกิจกรรมบริษัททัวร์ไม่ให้น้องมาแต่รอบนี้ทรายใช้อำนาจของตำแหน่งกดดันให้เขาปล่อยให้เด็กมา)

ทำไมทรายถึงนำน้อง ๆ มาลองร่วมอาสาและเรียนรู้ในภารกิจของอุทยาน? ชาวมอแกนไทยเป็นแรงบันดาลใจส่วนนึงของหนัง Avatar Way of Water – เพราะชาติพันธุ์ของน้อง ๆ และกรรมพันธุ์ของชาวมอแกนที่อยู่คู่ทะเลมาเสมอเปลี่ยนให้ร้างกายของพวกเขาสามารถกลั้นหายใจใต้น้ำได้นานกว่ามนุษย์ปกติและบางคนมีสายตาใต้น้ำดีมาก ๆ

นี่คือพรสวรรค์ที่ทรายเห็นในตัวน้อง ๆ กับตาจึงอยากให้เขามาช่วยภารกิจ อีกเหตุผลที่ทรายอยากให้น้อง ๆ มาร่วมกิจกรรมด้วยเพราะต้องการให้น้อง ๆ ที่ทรายรู้จักได้มาอยู่ในสายตาของเจ้าหน้าที่อุทยาน (ให้เจ้าหน้าที่เขารู้ว่าทรายรู้จักน้อง ๆ) เพื่อจะช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับเด็ก ๆ

ภารกิจหลักของเราใน 3 วันนั้นคือการดำน้ำสำรวจปะการังด้วยและเก็บขยะ ซึ่งน้อง ๆ เขาสามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์แม้ว่าจะต้องดำน้ำไป 10 กว่าเมตรเขาสามารถดำลงไปตัดอวนและดึงกลับขึ้นฝั่งเร็วกว่าเจ้าหน้าที่บนเกาะเอง เมื่อเราทำภารกิจสำรวจแนวปะการัง น้อง ๆ สามารถชี้และสังเกตสัตว์ทะเลและเศษอวนเร็วกว่าทุก ๆ คนในกลุ่มทีมงาน

ช่วงเย็นทรายใช้โอกาสนั่งเรือไปที่หมู่บ้านชาวมอแกน และนั่งคุยกับชาวมอแกนท่านหนึ่ง เขาเล่าว่า ชาวมอแกนบนเกาะไม่สามารถสร้างเรือตามรูปทรงของวัฒนธรรมของเขาได้ เพราะถูกกดดันว่าชาวมอแกนต้องซื้อเรือหางยาวจากฝั่งพังงามาทำทัวร์ (เพราะมันไปตามภาพของการท่องเที่ยวของทะเลใต้)

บนเกาะมีโรงเรียนหนึ่งโรงและมีคุณครูอาสาสมัครมาสอนท่านเดียว ครูคนนี้จะต้องสอนทุก ๆ วิชาและด้วยการเดินทางที่ลำบากบางครั้งก็จะไม่ได้มาสอนเด็ก ๆ บนเกาะ จึงสงผลให้เด็ก ๆ มอแกนไม่ได้รับการศึกษาเหมือนเด็กไทยคนอื่น ๆ

หลังจากที่ภารกิจจบและทรายกลับฝั่งทรายได้รายงานอธิบดี เรื่องของการที่อุทยานจ้างชาวมอแกนเดือนละ 4,000-5,000 บาทและมีแรงงานเด็ก

2 เดือนต่อมา น้องชาวมอแกนที่มาช่วยอาสางานกับทรายทักมาบอกว่า น้องอีกคนนึงที่ชื่อว่า น้องชล ถูกรถชนเสียชีวิตระหว่างที่เดินทางในตัวเมืองพังงา (น้อง ชล ได้โอกาสไปฟึกงานกับบริษัททัวร์แถวเกาะสิมิลัน น้องชลยังไม่อายุ 18 ปี)

น้องที่ติดต่อมาอยากให้ทรายช่วยคิดหาทางนำศพน้องชลกลับมาฝังศพที่เกาะสุรินทร์ ทรายเลยบอกน้องเขาว่าจะคุยกับอุทยานให้ แต่ทรายเองรู้สึกหดหู่มากว่าขนาดในกรณีแบบนี้ทำไมน้อง ๆ เขาไม่รู้สึกว่าสามารถขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่บนเกาะได้

ชาวมอแกน (ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประชากรคนไทย) เป็นสมาชิกที่สำคัญของสังคมเรา นอกเหนือจากกลยุทธ์และความสามารถทางการดำน้ำของน้อง ๆ วัฒนธรรมและประวัติของชาวมอแกนเป็นสีสันของประเทศไทยที่เตือนให้เราทบทวนถึงความหลากหลายของคำว่า “คนไทย”

ความเป็นอยู่ของชีวิตเขาสมควรคู่ควรกับความสามารถของเขา ทางองค์กรใหญ่ ๆ และภาครัฐควรเพิ่มโอกาสเพื่อสงเสริมและนำความสามารถของเขามาเป็นเอกลักษณ์เด่นที่ยกระดับการท่องเที่ยวทะเลไทยใต้ให้เป็นสีสัน หาไม่ได้ที่อื่น นอกเหนือจากนั้น ชาวมอแกนเป็นบุคคลที่เหมาะสมกับการเป็นเจ้าหน้าที่อุทยานในพื้นที่มาก ๆเพราะเขาเข้าใจพื้นที่ดีกว่าคนอื่น ๆ

ทรายมาเล่าให้ทุกคนฟังเพราะผมสัญญากับตัวเองว่า เมื่อพร้อมและมีโอกาส ทรายจะพูด และอยากให้ชาวมอแกนออกมาเล่าเรื่องราวของเขา อยากให้ทุกคนสนใจของเรื่องราวการเป็นอยู่ของน้อง ๆ ชาวมอแกน เพราะเด็กไทยทุกคนสมควรได้ชีวิตที่มั่นคงและปลอดภัย

อุทยานฯ โต้ไม่เป็นความจริง

หลังโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ได้มีคนเข้ามาแสดงความเห็นจำนวนมาก ทั้งคนที่เห็นด้วยกับทราย และคนที่ไม่เห็นด้วย

ขณะที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ได้ออกมาโต้แย้งข้อกล่าวหาที่ ทราย สก๊อต โพสต์ โดย นายเกรียงไกร เพาะเจริญ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ ชี้แจงว่า​ ข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง

ในเรื่องการอยู่อาศัยของชาวไทย​มอแกน​ นายเกรียงไกรบอกว่า เมื่อก่อนพี่น้องชาวไทยมอแกนจะใช้ชีวิตอยู่บนเรือกะบางเป็นหลัก แล้วในช่วงฤดูมรสุม จะขึ้นมาอาศัยตามเกาะต่าง ๆ โดยทำที่อยู่อาศัยเป็นเพิงพักชั่วคราว

ต่อมาหลังเกิดเหตุการณ์สึนามิ ได้ส่งผลกระทบต่อชาวไทยมอแกนเป็นอย่างมาก ทางอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จึงได้ขอความร่วมมือให้มาอยู่อาศัยเป็นหลักแหล่งบริเวณอ่าวบอนใหญ่ เกาะสุรินทร์ใต้ เพื่อที่จะได้รับการพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

นอกจากนี้ ในปัจจุบันมีหน่วยงานราชการที่คอยสนับสนุน ดูแลคุณภาพชีวิตและการศึกษาให้แก่ชาวไทยมอแกน มีทั้งศูนย์การเรียนรู้ชาวไทยมอแกน (หลักสูตร กศน.) ครูประจำ 4 อัตรา และศูนย์สาธารณสุขมูลฐาน มีเจ้าหน้าที่สาธารณสุขประจำ 1 อัตราตลอดทั้งปี

ส่วนการจ้างแรงงาน ทางอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ได้จ้างแรงงานชาวไทยมอแกน “ซึ่งทั้งหมดเป็นแรงงานผู้ใหญ่” ในอัตราค่าจ้างวันละ 200-250 บาท เริ่มทำงานเวลาประมาณ 09.00 – 14.00 น. รวม​ 5 ชั่วโมง โดยจัดอาหารเช้าและกลางวันให้ทุกวัน ซึ่งแต่ละวันชาวไทยมอแกนที่ทำงานกับอุทยานฯ จะนำอาหารกลับไปฝากครอบครัวได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

ทางฝั่งการจ้างของบริษัททัวร์ มีอัตราค่าจ้าง 8,000 – 12,000 บาท ไม่รวมค่าทิปที่ได้จากนักท่องเที่ยว​ สำหรับ​เด็ก ๆ​ จะมากับพ่อแม่หรือญาติที่ทำงานกับทางอุทยานฯ

นายเกรียงไกรชี้ว่า ชาวไทย​มอแกนที่ทำงาน​กับ​บริษัท​ทัวร์​ ส่วนใหญ่จะเป็นคนขับเรือหางยาวพานักท่องเที่ยวไปเล่นน้ำ ซึ่งเด็ก ๆ​ ก็จะตามมาเล่นน้ำด้วย โดยไม่ได้ตามมาเป็นประจำทุกวัน ทางบริษัททัวร์ยืนยันว่า ไม่มีการจ้างหรือ​ใช้แรงงานเด็ก

ขณะที่การช่วยเหลือเคลื่อนย้ายผู้เสียชีวิต ทางอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ได้ประสานกับ นายตะวัน กล้าทะเล​ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่บ้านมอแกน ซึ่งเป็นญาติกับเด็กหนุ่ม​คนหนึ่งที่เสียชีวิตแล้ว

นายตะวันแจ้งว่า หลังทราบข่าวการเสียชีวิตของ​หลาน ได้นำเรือหางยาวส่วนตัวขึ้นฝั่งเพื่อที่จะไปเคลื่อนย้ายร่าง และทำเอกสารต่าง ๆ ไม่ได้มาติดต่อขอความช่วยเหลือ​จากอุทยานฯ เนื่องจาก​มองว่า​ สามารถดำเนินการเคลื่อนย้ายผู้เสียชีวิตได้ด้วยตนเอง​ ยกเว้น​ถ้า​มีความจำเป็น​เร่งด่วน​ในฤดู​มรสุม​ จึง​จะ​ขอรับการสนับสนุน​จาก​ทางอุทยาน​ฯ

ด้านประเด็น​ที่ทราย​กล่าว​หาว่า​ มีการใช้​ประโยชน์​จาก​เด็ก​ โดยให้เด็กผู้ชายถอดเสื้อถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยวผู้หญิงนั้น ทางบริษัททัวร์ยืนยันว่า​ ไม่เคยบังคับหรือจ้าง​วานเด็กตามที่ถูกกล่าวหา

บริษัท​ทัวร์ระบุว่า วิถีชีวิตของผู้ชายชาวไทยมอแกนที่ขับเรือหางยาว หรือพานักท่องเที่ยวเล่นน้ำ หลังจากทำงานเสร็จ ก็มักจะถอดเสื้อเพื่อ​ให้​ตัวแห้ง​ แต่ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อที่จะถ่ายภาพกับนักท่องเที่ยว

แฉ “ทราย” พาเด็กไปทำคอนเทนต์โดยไม่ขออนุญาต

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 4 พ.ค. หลัง​จากทราย​โพสต์ผ่านเพจ​เกี่ยวกับ​ชาวไทย​มอแกน ก็ได้มีผู้​ปกครองพาเด็ก​หนุ่ม​อายุ​ 18 ปีมาพบหัวหน้า​อุทยาน​แห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ ​เพื่อ​แจ้ง​ว่า​ ทราย สก๊อต ​ชักชวน​หลานชายไปดำน้ำเพื่อ​ถ่าย​ทำคอนเทนต์​โดยไม่ขออนุญาต

โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 6-9 ก.พ. 2567​ ทรายได้แจ้งอุทยาน​แห่งชาติ​หมู่เกาะ​สุรินทร์​ว่า​ จะเข้ามาสำรวจ​ ติดตามสถานภาพทรัพยากรใต้น้ำ​ และทำกิจกรรมเก็บขยะ

ในช่วงดังกล่าว ทราย สก็อต พร้อมทีมงาน ได้ชักชวน​เด็กชาวไทย​มอแกน​ 2 คนไปดำเก็บขยะใต้น้ำ เพื่อ​ถ่าย​ทำคอนเทนต์​

เด็ก​หนุ่ม​ 1 ใน 2 คนเล่าว่า​ ​ทรายแจ้งว่า จะชวนไปถ่าย​ทำคอนเทนต์ร่วมกันเก็บขยะใต้ทะเล ใช้วิธีดำน้ำแบบตัวเปล่า (Freediving)

หลังถ่าย​ทำคอนเทนต์​ ทรายไม่ได้ให้ค่าจ้างเป็นเงิน แต่ให้เป็นสิ่งของแทน ได้​แก่ แว่นตา กางเกง และ​เสื้อ​คนละ 1 ชุด

ในวันต่อมา ทรายจะนัดเด็ก ๆ​ ไปดำน้ำเก็บขยะอีก แต่เด็ก ๆ​ บอกว่าเหนื่อย ทรายก็เจรจาชักชวน​อีก 2-3 ครั้งขอให้ไปช่วยอีกวัน แต่น้อง ๆ​ ยืนยันว่า​ ไปไม่ไหว​ จึงมีการถ่ายทำคอนเทนต์​กับเด็ก ๆ​ เพียง​วัน​เดียว

ซึ่งการติดต่อเด็กชาวไทยมอแกนไปถ่ายทำ​คอนเทนต์นี้​ ทรายไม่ได้​แจ้ง​ให้​อุทยาน​แห่งชาติ​หมู่เกาะ​สุรินทร์​ทราบแต่อย่างใด

โดย ณ เวลา 11.00 น. ของวันที่ 5 พ.ค. 68 ทราย สก๊อต ยังไม่ได้ออกมาชี้แจงเรื่องการถ่ายทำคอนเทนต์ดังกล่าว

Bottom-PL-HLW Bottom-PL-HLW

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

PPTVHD36

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ