“คริสต์มาส” ถือเป็นเทศกาลส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมตะวันตก ที่ผู้คนมักจะกลับบ้านหรือออกเดินทางท่องเที่ยวไปเฉลิมฉลองกัน แต่เทศกาลนี้มีที่มาอย่างไร และทำไมถึงตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี เราได้นำเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับวันสำคัญนี้มาฝากกัน
คริสต์มาสคืออะไร
วันคริสต์มาสเป็นวันหยุดประจำปีอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวคริสต์ ที่จะระลึกถึงการประสูติของพระเยซูคริสต์ ผู้นำทางจิตวิญญาณและผู้ก่อตั้งศาสนาคริสต์
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ผู้คนจำนวนยมากเฉลิมฉลองคริสต์มาสเพื่อเป็นเกียรติแก่การประสูติของพระเยซู ทั่วโลกก็เฉลิมฉลองในฐานะวันหยุดทางวัฒนธรรมเช่นกัน
เช็กวันคริสต์มาสตรงกับวันไหนของสัปดาห์
ในวันคริสต์มาสมักมีการเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี แต่จะตรงกับวันอะไรในสัปดาห์นั้น จะหมุนเวียนไป ซึ่งวันคริสต์มาสในอีก 5 ปีข้างหน้าจะตรงกับวันดังต่อไปนี้
- วันอาทิตย์ 25 ธันวาคม 2565
- วันจันทร์ 25 ธันวาคม 2566
- วันพุธ 25 ธันวาคม 2567
- วันพฤหัสบดี 25 ธันวาคม 2568
- วันศุกร์ 25 ธันวาคม 2569
25 ธันวาคม เป็นวันที่พระเยซูเกิด?
เพราะอะไรกัน ที่ทำให้วันคริสต์มาสตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี หลายคนอาจคิดว่าเป็นเพราะวันที่พระเยซูเกิด แต่จริงๆ แล้วในพระคัมภีร์ไม่ได้บอกว่าพระองค์เกิดขึ้นเมื่อใด เพียงแต่มีเบาะแสบางอย่าง เช่น คนเลี้ยงแกะเฝ้าฝูงแกะข้างนอก บอกเป็นนัยว่าอาจเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น
กระทั่งผ่านไป 3 ศตวรรษครึ่ง หลังจากการประสูติของพระคริสต์ วันที่ 25 ธันวาคม จึงได้รับเลือกให้เป็นวันฉลองวันเกิดของพระองค์ โดยสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 1 กำหนดให้เมื่อปี ค.ศ. 350 และมีการกำหนดอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 529 เมื่อจักรพรรดิจัสติเนียนแห่งโรมันประกาศให้คริสต์มาสเป็นวันหยุดราชการ
แต่วันที่นั้น ก็ไม่ใช่ว่าพระสันตะปาปาและจักรพรรดิจะเลือกกันมาแบบสุ่มๆ นักประวัติศาสตร์หลายคนเชื่อว่าพวกเขาชอบวันที่ 25 ธันวาคมกันทั้งคู่ เพราะตรงกับเทศกาลนอกรีตที่เฉลิมฉลองวันเหมายัน การผสมผสานคริสต์มาสเข้าไปแบบนี้จะทำให้คริสตจักรสามารถรักษาประเพณีวันหยุดในช่วงฤดูหนาวได้ แต่ในขณะที่การเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสเกิดขึ้นมาใหม่ พิธีกรรมเฉลิมฉลองนอกรีตจำนวนมากเหล่านี้ก็กลับถูกทิ้งไปแทน
นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีว่า ในแต่ละวันหลังจากวันที่ 25 ธันวาคมนั้น ดวงอาทิตย์จะสว่างขึ้นเรื่อยๆ เปรียบเสมือนกับที่พระคริสต์พัฒนาจากทารกไปสู่ความเป็นอมตะ ด้วยเหตุนี้จึงได้เกิดการเฉลิมฉลองขึ้น
ทำไมถึงเรียกว่า “วันคริสต์มาส”
ขั้นตอนสำคัญในการเปลี่ยนโฉมวันหยุดเก่า คือการตั้งชื่อใหม่ตามศาสนา จึงเกิดคำว่า “คริสต์มาส” ขึ้นมา โดยนำคำว่า Cristes maesse ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษแบบเก่ามาใช้ ที่แปลว่า “พิธีมิสซาของพระคริสต์” ซึ่งอ้างอิงถึงประเพณีของชาวคาทอลิกในการจัดพิธีมิสซาพิเศษเพื่อเฉลิมฉลองพระเยซู
วันคริสต์มาสเริ่มต้นเมื่อไร
เดิมวันคริสต์มาสเป็นวันหยุดประจำของผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์อยู่แล้ว โดยจะเฉลิมฉลองในช่วงกลางฤดูหนาว ไล่เลี่ยกับเทศกาลนอกรีตที่เฉลิมฉลองวันเหมายัน ในยุคแรกๆ จะเน้นไปที่การตรึงกางเขนและการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูเป็นหลัก
แต่ใน 3 ศตวรรษต่อมา เมื่อคริสตจักรมีขนาดใหญ่ขึ้นและมีอิทธิพลมากขึ้น ผู้นำทางศาสนาและผู้มีอิทธิพลทางการเมืองต้องการที่จะทำให้วัยหยุดของชาวคริสต์เป็นที่นิยมมากขึ้น ในขณะที่ยังอนุญาตให้มีการเฉลิมฉลองตามประเพณีที่ผู้คนมักทำกันก่อนหน้านี้อยู่แล้ว
การรวมวันคริสต์มาสและเหมายันเข้าด้วยกัน แม้จะถือเป็นการกำหนดวันประสูติของพระเยซุตามอำเภอใจ แต่ก็เป็นวิธีแก้ปัญหาที่จะทำให้วันหยุดนี้เป็นที่รู้จักกันมากขึ้น
เมื่อศาสนาคริสต์แพร่กระจายไปทั่วโลก จึงเกิดการฉลองในรูปแบบต่างๆ เนื่องจากวัฒนธรรมที่แตกต่างกันได้ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับความต้องการเฉพาะตน
คริสต์มาสกลายมาเป็นวันหยุดที่เรารู้จักได้อย่างไร
การเฉลิมฉลองคริสต์มาสช่วงต้นเป็นการผสมผสานระหว่างประเพณีนอกรีตและคริสต์ ทำให้เกิดการก่อกองไฟ การแลกเปลี่ยนขนม และการเล่นไพ่มาร์ดิกราส์ตามท้องถนน ซึ่งกลายเป็นที่รู้จักในเรื่องการมึนเมา ผู้แสวงบุญไม่สนับสนุนการเฉลิมฉลองแบบดังกล่าวอย่างมาก จึงออกกฎหมายในบางเมืองเพื่อควบคุม
ด้วยการถูกจำกัดบางอย่าง คริสต์มาสจึงไม่ได้รับความนิยมมากเท่าไร แต่ก็ไม่ได้ถูกลืม กระทั่งปลายปี ค.ศ. 1800 หนังสือคริสต์มาส 2 เล่มได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนั้น ได้แก่ A Christmas Carol ของ Charles Dickens และ The Sketchbook of Geoffrey Crayon, Gent ของ Washington Irving ซึ่งสะท้อนภาพของวันคริสต์มาสที่อบอุ่นและเป็นมิตรกับครอบครัวออกมา
แม้เรื่องเล่าของพวกเขาจะดูเป็นเรื่องที่โกหก แต่ก็ได้จุดประกายจินตนาการของชาววิกตอเรียให้มีการประกาศให้วันคริสต์มาสเป็นวันหยุดประจำชาติของชาวอเมริกัน
ในช่วง 150 ปีนับจากนั้น ชาวอเมริกันได้สร้างงานเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยนำบางส่วนจากประเพณีทางวัฒนธรรมอื่นๆ มาประดิษฐ์ขึ้นใหม่ และหลายครอบครัวก็มีประเพณีคริสต์มาสของตนเอง ซึ่งเพิ่มความหมายและความสุขเข้าไปอีกชั้นหนึ่ง
อย่างไรก็ตามการเฉลิมฉลองคริสต์มาสในปัจจุบันส่วนใหญ่จะเน้นที่กิจกรรมทางโลกมากกว่า ขณะที่การเฉลิมฉลองด้วยเหตุผลทางศาสนา จากการสำรวจของ Pew Research Center พบว่ามีไม่ถึงครึ่ง
โดยประเพณีคริสต์มาสที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุด นั่นคือ ซานตาคลอสนำของขวัญมามอบให้เด็กๆ ในคืนวันคริสต์มาสอีฟ ซึ่งเรื่องราวของซานตาคลอสนั้นมาจาก “เซนต์นิโคลัส” ที่ได้รับตำแหน่งนักบุญหลังจากบริจาคทรัพย์สมบัติทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือคนยากจนและขัดสน ทำให้เขาเป็นที่รู้จักในฐานะนักบุญอุปภัมภ์ของเด็กๆ ก่อนที่จะมรณภาพในวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 340 ในวันระลึกถึงการจากไปของนักบุญ พวกเขาเรียกว่า “Sint Nikolaas” และเรียกย่อว่า “Sinter Klaas” และต่อมาได้พัฒนาเป็น “ซานตาคลอส”
แต่บุคลิกลักษณะของซานตาคลอส ที่ร่าเริง ชอบแจกของขวัญ เลี้ยงดูกวางเรนเดียร์ และคนเล่นปล่องไฟ ตรงนี้ก็มาจากบทกวีของรัฐมนตรีสังฆราช Clement Clarke Moore ส่วนหน้าตาสไตล์คุณปู่ ดูอบอุ่น แก้มแดงระเรื่อ หนวดเคราสีขาว และมีดวงตาที่เปล่งประกาย ก็มาจากโฆษณาของโค้กช่วงทศวรรษ 1900
กิจกรรมยอดนิยมช่วงวันคริสต์มาส
แน่นอนว่า “ซานตาคลอส” ไม่ได้เป็นเพียงประเพณีเดียวที่ได้รับความนิยมเท่านั้น ยังมีอีกหลายอย่างที่หลายคนไม่ว่าจะเชื้อชาติใดก็ตามต่างทำกัน ไม่ว่าจะเป็น
- การดูหนังคริสต์มาส
- ร้องเพลงวันคริสต์มาส
- ตกแต่งต้นคริสต์มาส
- ตกแต่งห้องให้มีกลิ่นอายวันคริสต์มาส
- การมอบของขวัญ
- ทานอาหารวันคริสต์มาส เช่น ลูกอมแคนดี้แคน (รูปไม้เท้า) คุ้กกี้กวางเรนเดียร์, เมอแรงค์รูปต้นคริสต์มาส หรือ ช็อกโกแลตเกล็ดหิมะ เป็นต้น
- แขวนถุงเท้าในวันคริสต์มาส
เริ่มแล้ว! “งานกาชาด 2565” ที่สวนลุมพินี ตั้งแต่ 8-18 ธ.ค.นี้
"งานกาชาด 2565" แนะนำการเดินทาง-จุดจอดรถ ระหว่างวันที่ 8-18 ธ.ค.นี้
ความเห็นเอกฉันท์! นิด้าโพลเผยผล ขึ้นเงินเดือนข้าราชการและค่าแรงขั้นต่ำ
อุตุฯ ประกาศเตือนอากาศหนาว อุณหภูมิลดสูงสุด 8 องศา