“สงกรานต์พระประแดง” ไม่ใช่ “วันไหล” เปิดที่มาประเพณีโบราณจังหวัดสมุทรปราการ

โดย PPTV Online

เผยแพร่

นับถอยหลัง “สงกรานต์พระประแดง” ปี 2568 นี้จัดอย่างยิ่งใหญ่ระหว่างวันที่ 25 – 27 เมษายน 2568แต่รู้หรือไม่ว่าวัฒนธรรมประเพณี “สงกรานต์พระประแดง” ที่จัดขึ้นหลังจากเทศกาลสงกรานต์ในแต่ละปีนั้น ไม่ใช่ “วันไหล”

สมุทรปราการเตรียมจัดงาน ประเพณีสงกรานต์พระประแดง ประจำปี 2568 อย่างยิ่งใหญ่ ระหว่างวันที่ 25 - 27 เมษายน 2568 ณ อำเภอพระประแดง 1 ในเทศกาลสงกรานต์ที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์ที่สุดของไทย โดยผสมผสานวัฒนธรรมมอญโบราณกับบรรยากาศความสนุกสนานของเทศกาลปีใหม่ไทย

สงกรานต์พระประแดง เป็นเทศกาลสงกรานต์ที่จัดขึ้นในอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ มีความโดดเด่นในด้านขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวไทยเชื้อสายมอญที่ สืบทอดมาหลายร้อยปี เป็นหนึ่งในงานสงกรานต์ที่ทรงคุณค่าทางวัฒนธรรมมากที่สุดในประเทศไทย

คอนเทนต์แนะนำ
สงกรานต์พระประแดง 2568 จัดยิ่งใหญ่! สาดน้ำกันฉ่ำ 3 วันติด 25-27 เม.ย.!
สงกรานต์ยังไม่จบ! เช็กลิสต์ “วันไหล 2568” ที่คุณไม่ควรพลาด

สงกรานต์พระประแดง ช่างภาพพีพีทีวี
สงกรานต์พระประแดง

ความงดงามของสงกรานต์ในอดีต

ในอดีต ประเพณีสงกรานต์พระประแดงเน้นพิธีกรรมที่แสดงถึงความกตัญญูและความเคารพต่อผู้ใหญ่ เช่น การรดน้ำขอพร การสรงน้ำพระ และการทำบุญตักบาตรที่วัด นอกจากนี้ยังมีประเพณีและการละเล่นท้องถิ่นที่สนใจมากมาย เช่น การกวนขนมกาละแม (กวันฮะกอ) การเล่นสะบ้า และกิจกรรมชุมชนที่แสดงถึงความสามัคคีในท้องถิ่น

ความเปลี่ยนแปลงของประเพณีสงกรานต์ในปัจจุบัน

ปัจจุบัน แม้งานสงกรานต์หลายแห่งในประเทศจะเน้นการเล่นน้ำและความสนุกสนาน แต่สงกรานต์พระประแดงยังคงรักษาแก่นแท้ของประเพณีไว้ได้อย่างเข้มแข็ง มีการปรับรูปแบบเล็กน้อยให้เข้ากับยุคสมัย เช่น การจัดกิจกรรมร่วมสมัย การแสดงวัฒนธรรม และการประกวดหนุ่มสาวมอญ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาร่วมเรียนรู้ และสืบสานขนมธรรมเนียมประเพณีอันดีงามนี้ไว้

ทำไม “ไม่ควร” เรียก “สงกรานต์พระประแดง” ว่า “วันไหล”

หลายคนเข้าใจผิดเรียกสงกรานต์พระประแดงว่า “วันไหล” ซึ่งจริง ๆ แล้ว “วันไหล” เป็นคำที่ใช้กับประเพณีชาวเล เช่น พัทยา บางแสน ที่เน้นกิจกรรมก่อพระทรายน้ำไหลและขนทรายเข้าวัด แต่สงกรานต์พระประแดงไม่มีการขนทรายหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการไหลของน้ำแต่อย่างใด จึงควรเรียกชื่อให้ถูกต้องว่า “สงกรานต์พระประแดง”

สงกรานต์พระประแดง ประเพณีอันเป็นเอกลักษณ์ชาวรามัญ

“พระประแดง” เป็นเมืองโบราณสมัยขอม มีชื่อปรากฏในประวัติศาสตร์ถึง 5 สมัย คือ สมัยลพบุรี สุโขทัย กรุงศรีอยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ เมืองพระประแดง เดิมตั้งอยู่บริเวณคลองเตย เขตพระโขนง กรุงเทพฯ ต่อมาแผ่นดินได้งอกขึ้นมาจึงย้ายเมืองพระประแดง มาให้ใกล้ปากแม่น้ำ ซึ่งคือ อำเภอพระประแดง ในปัจจุบัน

สงกรานต์พระประแดง ช่างภาพพีพีทีวี
สงกรานต์พระประแดง

ประวัติเมืองพระประแดง

  • สมัยกรุงธนบุรี พระเจ้ากรุงธนบุรี มีคำสั่งให้รื้อกำแพงเมืองพระประแดงมาสร้างวัง ทำให้เมืองพระประแดงหายสาบสูญไปในสมัยนั้น 

  • สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ 1) ทรงโปรดให้กรมพระราชวังบวรฯ ลงสำรวจปากแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อสร้างเมืองใหม่ จากการสำรวจจึงได้ข้อมูลต่าง ๆ ทางด้านภูมิศาสตร์และยุทธศาสตร์ทางการป้องกัน พระองค์ท่านฯจึงโปรดให้สร้างป้อมขึ้นมาหนึ่งป้อมตรงฝั่งซ้ายแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณ  คลองลัดโพธิ์ ป้อมนี้ชื่อว่า “ป้อมวิทยาคม” นับเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้าง เมืองพระประแดง 

  • สมัยพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) ทรงทำการสร้างเมืองต่อจากรัชกาลที่ 1 เริ่มทำพิธีฝังอาถรรพ์ปักหลักเมือง ณ วันศุกร์ เดือน 7 แรม 10 ค่ำ ปีกุล สับตศก จุลศักราช 1177 (พ.ศ. 2358) จากพงศาวดารรัชกาลที่ 2 ให้นามว่า “เมืองนครเขื่อนขันธ์” ในการครั้งนี้ได้สร้างพระอารามไว้ในเมือง พระราชทานนามว่า วัดทรงธรรม ต่อมาได้สร้างป้อมเพื่อความแข็งแกร่งในการป้องกันศัตรูทางฝั่งตะวันออก 3 ป้อม คือ ป้อมปู่เจ้าสมิงพราย ป้อมปีศาจสิง ป้อมราหูจร และฝั่งตะวันตกอีก 5 ป้อม คือ ป้อมแผลงไฟฟ้า ป้อมมหาสังหาร ป้อมศัตรูพินาศ ป้อมประจักกรด ป้อมพระจันทร์พระอาทิตย์ รวมแล้ว นครเขื่อนขันธ์ จึงมีป้อมปราการทั้งหมด 9 ป้อม นอกจากนี้ ยังทรงโปรดให้ขุดคลองลัดแม่น้ำเจ้าพระยา มีชื่อว่า “คลองลัดหลวง” เพื่อใช้เป็นทางลัดในการเดินทาง ทำให้เมืองนครเขื่อนขันธ์ มีอีกชื่อหนึ่งว่า “ปากลัด”

พ.ศ. 2358 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) ทรงโปรดเกล้าให้ครอบครัวชาวมอญจากเมืองปทุมธานีที่ได้อพยพเข้ามาประเทศไทยในรัชสมัย พระเจ้าตากสินมหาราช โดยมีผู้นำ คือ พระยาเจ่ง (ต้นตระกูลคชเสนี) ย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่เมืองนครเขื่อนขันธ์ ครั้งนั้นมีชายฉกรรจ์ทั้งหมด 300 คน โดย สมิงทอมา ซึ่งเป็นบุตรของพระยาเจ่งเป็นผู้นำในการอพยพ ภายหลังได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองนครเขื่อนขันธ์ ชาวมอญกลุ่มนี้ถูกเรียกว่า “มอญเก่า” ในปีเดียวกันนี้มีชาวมอญอีกกลุ่มหนึ่งอพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร มีสมิงสอดเบาเป็นผู้นำ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงโปรดให้ชาวมอญกลุ่มนี้ไปตั้งหลักแหล่งที่เมืองนครเขื่อนขันธ์เช่นกัน โดยชาวมอญกลุ่มนี้ถูกเรียกว่า “มอญใหม่”

  • สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) โปรดให้สร้างป้อมขึ้นอีกหนึ่งป้อม ชื่อ “ป้อมเพชรหึงษ์” และได้ทรงโปรดเกล้าให้เปลี่ยนชื่อจากเมืองนครเขื่อนขันธ์ เป็น “เมืองพระประแดง” 

    • พ.ศ. 2458 เมืองพระประแดงได้รับการฐานะ เป็น “จังหวัดพระประแดง” มี 3 อำเภอ คือ อำเภอพระประแดง อำเภอพระโขนง และอำเภอราษฎร์บูรณะ
    • พ.ศ. 2475 สมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) ประเทศไทยเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอันเนื่องจาก ภาวะสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงทรง

โปรดเกล้าให้ยุบจังหวัดพระประแดงโดยให้อำเภอพระโขนง และอำเภอราษฎร์บูรณะ ขึ้นตรงกับจังหวัดกรุงเทพ ส่วนอำเภอพระประแดงขึ้นตรงกับ จังหวัดสมุทรปราการ
ความหมายของคำว่า “พระประแดง”คำว่า “พระประแดง” แปลตามความหมายเชิงภาษาศาสตร์และประวัติศาสตร์ได้ดังนี้

ความหมายโดยตรง“พระ” หมายถึง สิ่งที่สูงส่ง หรือใช้เป็นคำยกย่องในทางศาสนาและกษัตริย์“ประแดง” มาจากคำว่า “แดง” ที่แปลว่าสีแดง ส่วนคำว่า “ประ” เป็นคำเสริมที่ใช้ในภาษาโบราณ เพื่อให้ฟังไพเราะเมื่อรวมกัน “พระประแดง” จึงอาจหมายถึง “ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นสีแดง” หรือ “เมืองแดงอันสูงส่ง” ซึ่งสอดคล้องกับการที่พื้นที่นี้เคยเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญ และเชื่อมโยงกับคำว่า “กบิล” ในภาษาสันสกฤตที่แปลว่า “แดง” ซึ่งมีในตำนานท้าวกบิลพรหมแห่งสงกรานต์

สงกรานต์พระประแดง ช่างภาพพีพีทีวี
สงกรานต์พระประแดง

ความเกี่ยวโยงในบริบทประวัติศาสตร์

เดิมทีเมืองนี้ชื่อว่า “นครเขื่อนขันธ์” มีความสำคัญในฐานะเมืองหน้าด่านปกป้องกรุงรัตนโกสินทร์ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น “พระประแดง” ซึ่งอาจเป็นการตั้งชื่อใหม่ให้สอดคล้องกับคติและความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับสงกรานต์ หรือตำนานของท้าวกบิลพรหมที่เกี่ยวข้องกับ “สีแดง” และ “พระอาทิตย์”

ตำนานสงกรานต์

ท้าวกบิลพรหมท้าพนัน ธรรมบาลกุมาร เด็กน้อยอายุ 7 ขวบ ผู้รอบรู้เรื่องไตรเภทและภาษานก ให้ตอบคำถามว่า “ตอนเช้าศรีอยู่ที่ไหน ตอนเที่ยงศรีอยู่ที่ไหนและตอนค่ำศรีอยู่ที่ไหน" โดยวางเดิมพัน คือ หากธรรมบาลกุมารสามารถตอบคำถามได้ ท้าวกบิลพรหมจะตัดเศียรตนเองบูชา ทางกลับกันถ้าธรรมบาลกุมารไม่สามารถตอบคำถามได้ ก็จะต้องตัดเศียรตนเพื่อบูชาท้าวกบิลพรหมเช่นกัน

ธรรมบาลกุมาร ตอบคำถามไม่ได้ จึงขอยืดเวลาออกไปอีก 7 วัน ทำอย่างไรก็ไม่รู้คำตอบ จนกระทั่งวันที่ 6 ธรรมบาลกุมารได้ออกจากปราสาทไปนอนเล่นใต้ต้นตาล 2 ต้น ปรากฏว่าบนต้นตาลมีนกอินทรี 2 ตัวผัวเมียกำลังคุยกัน ด้วยธรรมบาลกุมารรู้และเข้าใจภาษานก จึงแอบฟัง 

ตัวเมีย: พรุ่งนี้จะกินอะไรดี
ตัวผู้: รอกินเนื้อธรรมบาลกุมาร
ตัวเมีย:เพราะอะไร
ตัวผู้: ธรรมาบาลกุมาร ไม่สามารถตอบคำถามของท้าวกบิลพรหมได้อย่างแน่ใจ และต้องถูกตัดเศียรในวันพรุ่งนี้
ตัวเมีย:คำตอบ คืออะไร
ตัวผู้: จึงเฉลยว่า ตอนเช้าศรีจะอยู่ที่หน้า คนจึงต้องล้างหน้าทุก ๆ เช้า ตอนเที่ยงศรีจะอยู่ที่อก คนจึงเอาเครื่องหอมประพรมที่อก ส่วนตอนเย็นศรีจะอยู่ที่เท้า คนจึงต้องล้างเท้าก่อนเข้านอน

ในขณะนั้นธรรมบาลกุมารได้ยินคำตอบชัดเจน จึงจำคำตอบนั้นมาตอบท้าวกบิลพรหม คราเมื่อธรรมบาลกุมาร สามารถตำอบคำถามได้ ท้าวกบิลพรหมจึงต้อง
ตัดเศียรเพื่อบูชาธรรมบาลกุมารแต่ปัญหาก็คือ หากเศียรของท้าวกบิลพรหมตกไปอยู่ที่ใด ก็จะเป็นอันตรายต่อที่นั้น เช่น หากตั้งเศียรไว้บนแผ่นดินโลกก็จะถูกเผาด้วยไฟหากโยนขึ้นไปบนอากาศฝนก็จะแล้ง หรือหากทิ้งไว้ในมหาสมุทรน้ำก็จะแห้ง ท้าวกบิลพรหมจึงเรียกธิดาทั้ง 7 มาชุมนุม แล้วมอบหมายให้ธิดาทั้ง 7 ผลัดเวรกันนำพานมารองรับเศียร โดยเริ่มต้นจากนางทุงษะ ผู้เป็นธิดาองค์โต นางทุงษะก็เชิญพระเศียรของท้าวกบิลพรหมเวียนขวารอบเขาพระสุเมรุ 60 นาที จากนั้นนำไปประดิษฐานภายในถ้ำคันธชุลี ณ เขาไกรลาศ และเมื่อครบกำหนด 365 วัน ซึ่งโลกสมมุติว่าเป็นหนึ่งปี ซึ่งถือว่าเวียนมาถึงวันมหาสงกรานต์ เทพธิดาทั้ง 7 ก็จะทรงพาหนะของตน ผลัดเวรกันมาเชิญพระเศียรของบิดาออกแห่ และทำเช่นนี้ทุก ๆ ปี ด้วยธิดาทั้ง 7 จะมาปรากฏตัวในวันมหาสงกรานต์ของทุกปี จึงได้ชื่อว่า "นางสงกรานต์" ส่วนท้าวกบิลพรหมนั้น นัยก็คือ พระอาทิตย์ ด้วยคำว่า “กบิล” หมายถึง “สีแดง”

สงกรานต์พระประแดง ช่างภาพพีพีทีวี
สงกรานต์พระประแดง

ไฮไลต์ของประเพณีสงกรานต์พระประแดง

สงกรานต์พระประแดง มีช่วงเทศกาลยาวนานกว่าสงกรานต์ในพื้นที่อื่น รวม 7 - 10 วัน คือ เริ่มตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน จนถึงวันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 3 ของเดือนเมษายน ถือเป็นวันสุดท้ายของสงกรานต์พระประแดง ซึ่งจะมีขบวนแห่สงกรานต์อย่างยิ่งใหญ่ตระการตา 2 - 3 วัน ก่อนถึงวันสงกรานต์ชาวรามัญ ชาวไทยพระประแดง จะเริ่มทำความสะอาดบ้านเรือนของตนเพื่อเอาฤกษ์เอาชัยเป็นสิริมงคลแก่ครอบครัว หมายถึงการเริ่มต้นสิ่งใหม่ ๆ ด้วยความสะอาดทั้งกายและใจ นอกจากนี้ในช่วงระยะเวลาเทศกาลสงกรานต์พระประแดง ยังมีขนบธรรมเนียมประเพณีที่น่าสนใจอีกมากมายหลายอย่าง ได้แก่

ประเพณีกวนขนมกวันฮะกอ หรือ กาละแม

แต่ละบ้านก็ช่วยกันกวนขนมที่เรียกว่า “กาละแม” หรือชาวเรียก “กวันฮะกอ” แปลว่า ขนมกวน  โดยมีส่วนผสมคือ ข้าวเหนียว น้ำตาลมะพร้าว กะทิ กวนให้เข้ากันจนเหนียว เพื่อใช้สำหรับทำบุญตักบาตรวันสงกรานต์ และแจกจ่ายญาติเพื่อนบ้าน หลังจากที่นำอาหารไปทำบุญที่วัดแล้ว ช่วงตอนเย็นจะพากันไปรดน้ำขอพรจากผู้ใหญ่ และผู้ที่เคารพนับถือ ซึ่งชาวมอญจะถือขนมกวันฮะกอ หรือ กาละแมนี้ไปเป็นของฝากด้วย ซึ่งความจริงทุกบ้านก็กวนกาละแม แต่ก็ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่ได้พบปะเยี่ยมเยียนกัน หากได้ไปดูการละเล่นสะบ้า บ่อนสะบ้าก็จะเตรียมขนมกวันฮะกอ หรือ กาละแมนี้ไว้ให้รับประทานด้วย 

ประเพณีส่งข้าวสงกรานต์

ประเพณีส่งข้าวสงกรานต์ คาดว่าจะได้รับอิทธิพลจากตำนานสงกรานต์ ครั้งเมื่อตอนที่ท่านเศรษฐี (พ่อของธรรมบาลกุมาร) นำเครื่องสังเวยไปบวง สรวงเทวดาใต้ต้นไทรเพื่อขอบุตร อยู่ในช่วง 3 วัน คือวันที่ 13 - 14 - 15 เมษายน ชาวไทยรามัญจะปลูกศาลเพียงตาด้วยไม้ไผ่และใบตอง ไว้ที่บ้านของตน เจ้าบ้านจะนำอาหารคาวหวาน ใส่กระทงตั้งไว้บนศาลพร้อมด้วย ข้าวแช่ หรือ ข้าวสงกรานต์เพื่อสักการะพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณ ตลอดจนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง

หากบ้านใดจะทำบุญใหญ่ จะเชิญสาว ๆ ในหมู่บ้านมาช่วยกันทำอาหาร อาหารที่ทำคือ ข้าวสงกรานต์ หรือ ข้าวแช่ คือ ข้าวสวย เมื่อจะทานจะนำไปแช่น้ำดอกมะลิที่ใส่ในหม้อดิน กินแกล้มกับข้าวรสเค็ม เช่น ไข่เค็ม ปลาเค็ม เนื้อเค็ม ส่วนของหวานสำหรับทำบุญ ได้แก่ ถั่วดำต้มน้ำตาล กล้วยหักมุก แตงโม โดยชาวไทยรามัญจะจัดข้าวสงกรานต์และของหวานใส่ถาดเป็นสำรับ ให้เท่ากับจำนวนวัดที่จะทำบุญ ในเวลาเช้า สาว ๆ ที่มาช่วยงานบุญก็จะรับสำรับข้าวสงกรานต์ไปส่งตามวัดต่าง ๆ ครั้นเมื่อถึงเวลาสาว ๆ เดินทางกลับ ก็จะมีหนุ่ม ๆ มารอรดน้ำ และเกี้ยวพาราสีตามวิถีหนุ่มสาวทั่ว ๆ ไป ด้วยกริยาท่าทีที่สุภาพ เจ้าบ้านที่เป็นเจ้าภาพทำข้าวสงกรานต์ จะเตรียมงานเลี้ยงไว้เผื่อสำหรับ สาว ๆ เพื่อนบ้านและญาติที่มาช่วยงานบุญ

ประเพณีสรงน้ำพระ - รดน้ำขอพรผู้ใหญ่และเล่นน้ำสงกรานต์ 

ประเพณีสรงน้ำพระ - รดน้ำขอพรผู้ใหญ่และเล่นน้ำสงกรานต์ จะจัดในวันท้าย ๆ ของสงกรานต์พระประแดง วัดในเมืองพระประแดงที่มีพระพุทธรูปเก่าแก่ งดงาม และจำนวนมาก เช่น วัดโปรดเกศเชษฐาราม ซึ่งเป็นวัดอารามหลวง จะเป็นเจ้าภาพจัดให้มีประเพณีสรงน้ำพระ ทั้งพระพุทธและพระสงฆ์อาวุโส รดน้ำขอพรผู้ใหญ่ประจำหมู่บ้านละแวกนั้นๆ เมื่อถึงเวลาเย็นหนุ่มสาวก็จะพากันนำน้ำอบไปสรงน้ำพระพุทธรูปรอบวัด จากนั้นจะพากันไปรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ ระหว่างเดินทางกลับมักพบหนุ่มสาวหมู่บ้านต่าง ๆ ออกมาเล่นสาดน้ำกัน ด้วยกริยาท่าทีที่สุภาพ เล่นกันพองาม และคุยกันตามประสาหนุ่มสาว ตลอดเส้นทาง (ในปัจจุบันประเพณีนี้ก็ค่อย ๆ หายไปหลังจากที่พระประแดงมีการสัญจร คับคั่งไปด้วยรถยนต์)

ประเพณีแห่หงส์ – ธงตะขาบ

ประเพณีแห่หงส์ - ธงตะขาบ จัดขึ้นทุกปีในทุก ๆ วันที่ 13 เมษายน โดยชาวไทยรามัญจะจัดขบวนแห่อย่างสวยงาม ประกอบด้วยเสลียงอัญเชิญหงส์ และขบวนธงตะขาบแห่ไปรอบ ๆ วัดในเมืองพระประแดง เช่น วัดโปรเกศเชษฐาราม วัดทรงธรรม วัดคันลัด เป็นต้น

  • หงส์ คือ สัญลักษณ์ของเมืองหงสาวดี ถือเป็นถิ่นเดิมของชาวมอญ ตามตำนานเล่าว่า หลังจากที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ได้ 8 ปี ได้เสด็จไปยังแคว้นต่าง ๆ วันหนึ่งทรงมาถึงภูเขาสุทัศนมรังสิต ซึ่งอยู่ทางเหนือของเมืองสะเทิม ทรงเห็นเนินดินกลางทะเลมีหงส์คู่หนึ่งเล่นน้ำกันอยู่ พระองค์จึงทำนายว่าวันข้างหน้า เนินดินที่หงส์ทองเล่นน้ำจะกลายเป็นมหานครชื่อว่า หงสาวดี คำสั่งสอนของพระพุทธองค์จะรุ่งเรืองขึ้นที่นี่ หลังจากเสด็จดับขันธ์ล่วงไปแล้วได้ 100 ปี ทะเลใหญ่นั้นก็เกิดตื้นเขินจนกลายเป็นแผ่นดินอันกว้างใหญ่ เมืองหงสาวดีจึงได้กำเนิดขึ้น ณ ดินแดนที่มีหงส์ทองเล่นน้ำอยู่นั้น ดังนั้นชาวมอญในหงสาวดีจึงใช้หงส์เป็นสัญลักษณ์ของประเทศตั้งแต่นั้นมา
  • ธงตะขาบ หรือ ธงที่มีลักษณะคล้าย ๆ ตุงของทางภาคเหนือ แต่มีขนาดใหญ่ประมาณ 3 เมตร โดยชาวมอญ เชื่อว่า ตะขาบ มีเขี้ยวพิษสามารถต่อสู้กับศัตรูที่จะมารุกรานได้ เปรียบเหมือนชาวมอญที่ไม่เคยหวาดหวั่นศัตรู ทุกอวัยะในตัวตะขาบนั้น ชาวมอญจะตีความออกมาเป็นปริศนาธรรมทั้งสิ้น

    • หนวด 2 เส้น หมายถึง สติ สัมปชัญญะ
    • หาง 2 หาง หมายถึง ขันติ โสรัจจะ
    • เขี้ยว 2 เขี้ยว หมายถึง หิริ โอตัปปะ
    • ตา 2 ข้าง หมายถึง บุพการี กตัญญูกตเวที
    • ลำตัว 22 ปล้อง หมายถึง สติปัฎฐาน4 สัมมัปปธาน4 อินทรีย์5 พละ5 และอิทธิบาท4 

จึงถือว่าธงตะขาบไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ทางพิธีกรรม แต่ยังสื่อถึงหลักธรรมและค่านิยมของชาวมอญในการดำรงชีวิตอีกด้วย

การละเล่นพื้นบ้าน ในประเพณีสงกรานต์พระประแดง

  • สะบ้า เกมพื้นบ้านที่ใช้เม็ดสะบ้ากระแทกกัน เป็นกิจกรรมยอดฮิตที่มักเล่นกันในช่วงเทศกาล
  • ร้องเพลงทะแยมอญ บทเพลงที่ขับขานกันเป็นหมู่คณะ เพื่อแสดงความรื่นเริงและความรักใคร่กันของคนในชุมชน
  • รำมอญแห่กลองยาว ขบวนรำที่เต็มไปด้วยจังหวะกลองและการแต่งกายพื้นเมือง สะท้อนความสนุกสนานและความภาคภูมิใจในรากเหง้า
  • มอญซ่อนผ้า เกมที่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เล่นร่วมกันได้ สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวและชุมชน
  • เล่นขับร้องมอญกล่อมบ่อน การละเล่นที่มีลักษณะเป็นการร้องกล่อมในจังหวะช้า ๆ ฟังเพลิน สื่อถึงความสงบและอ่อนโยนในวัฒนธรรมมอญ

สงกรานต์พระประแดง คือ มรดกทางวัฒนธรรมที่คนไทยควรภาคภูมิใจ เป็นการผสมผสานระหว่างพิธีกรรมโบราณกับวิถีชีวิตชุมชนอย่างกลมกลืน ถ้าอยากสัมผัสสงกรานต์ที่มีทั้งกลิ่นอายของประวัติศาสตร์ ความอบอุ่นของชุมชน พร้อมด้วยความสวยงามทางวัฒนธรรม ลองมาเยือนพระประแดงสักครั้ง แล้วคุณจะรู้ว่าสงกรานต์ไม่ใช่แค่เรื่องของการสาดน้ำ แต่คือหัวใจของการเป็นไทยแท้ ๆ

เขียนโดย โค้ชเจมส์ จามร

แหล่งอ้างอิง:

กรมศิลปากร. (2544). พงศาวดารรัชกาลที่ 2

หนังสือ “ประวัติศาสตร์เมืองพระประแดง” โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดสมุทรปราการ

กรมส่งเสริมวัฒนธรรม. (2564). สงกรานต์พระประแดง จังหวัดสมุทรปราการ

ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร. (2563). การสืบทอดพิธีกรรมสงกรานต์ในชุมชนชาวมอญ

กรมศิลปากร. (2547). ประเพณีสงกรานต์ในประเทศไทย. สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์

วารสารศิลปวัฒนธรรม, มติชน (ฉบับสงกรานต์ 2565)

เว็บไซต์เทศบาลเมืองพระประแดง (www.phrapradaeng.go.th)

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ที่นำเสนอข่าวประจำปีเกี่ยวกับงานสงกรานต์พระประแดง

หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ที่นำเสนอข่าวประจำปีเกี่ยวกับงานสงกรานต์พระประแดง

Bottom-PL-HLW Bottom-PL-HLW

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

PPTVHD36

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ