มหกรรมโอลิมปิก 2024 Olympic 2024 "ปารีสเกมส์" ที่จัดขึ้น ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 26 กรกฎาคม - 11 สิงหาคม 2567 "วิว" กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นักตบขนไก่ไทย ได้สร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการแบดมินตันไทย ด้วยการคว้าเหรียญเงินมาครองในการแข่งขันแบดมินตัน ชายเดี่ยว ดวล วิกเตอร์ อเซลเซ่น นักตบขนไก่จอมเก๋าจากเดนมาร์ก เมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา
และวันที่ 11 สิงหาคม 2567 พีพีทีวี ก็ได้ร่วมพูดคุยแบบสด ๆ กับ "วิว กุลวุฒิ" ฮีโร่เหรียญเงินโอลิมปิก 2024 เผยถึงความรู้สึก และประสบการณ์ต่าง ๆ หลังคว้าเหรียญเงินประวัติศาสตร์นี้มาครอง พร้อมเปิดทุกเรื่องราว รู้จักทุกแง่มุมของ "วิว กุลวุฒิ" และชวนฟังวิธีคิดสร้างแรงบันดาลใจ พร้อมเดินหน้าสู่ประวัติศาสตร์ครั้งใหม่
"โฟกัสทีละลูก ทำปัจจุบันให้ดี" แนวคิดคว้าเงินโอลิมปิก 2024 ของ "วิว กุลวุฒิ"
วิว กุลวุฒิ เผยว่า มองไปที่รอบแบ่งกลุ่มก่อน อยากให้ผ่านรอบแบ่งกลุ่มก่อน เพราะยิ่งมองสูงยิ่งมีความกดดัน เลยมองว่าการผ่านรอบแบ่งกลุ่มไปก่อนถือว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับการไปโอลิมปิกครั้งแรก โฟกัสทีละลูกที่จะตี เพราะการที่เรานึกถึงหลาย ๆ ช็อตทำให้บางทีสมองรับเยอะเกินไป
เพราะฉะนั้น มองไปทีละลูกว่าเราจะเล่นแบบไหน ค่อยวางแผนเอา และไม่ได้มองถึงผลมากจนเกินไป จนทำให้ผลงานออกมาค่อนข้างโอเคในรายการนี้
วิว กุลวุฒิ เผยต่อว่า ความรู้สึกหลังคว้าเหรียญได้ คือ รู้สึกดีใจ แต่พอจบรอบชิงชนะเลิศไม่ค่อยดีใจเท่าไร ถึงแม้จะเป็นเหรียญประวัติศาสตร์ แต่เราไม่ได้เหรียญทอง ซึ่งเหรียญทองคือความฝันของผมด้วย การที่ไม่ได้เหรียญทองก็เสียใจ และเสียดายที่ไหน ๆ เรามีโอกาสได้เข้าชิงชนะเลิศแล้ว อีกนิดเดียวเราก็จะถึงเหรียญทองแล้ว
วิว กุลวุฒิ เปิดเผยว่า สิ่งที่ทำให้เราดูนิ่งคือ เรานึกถึงการเล่นกับปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีก่อน รวมถึงมีสมาธิด้วย อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ดูนิ่งคือ เหนื่อยด้วย ไม่แสดงอาการให้คู่ต่อสู้เห็น หรือเรียกว่าเป็นคาแรกเตอร์ก็ได้ เพราะบางทีถ้าเราไปแสดงอาการอะไรให้คู่ต่อสู้เห็น เขาอาจได้ใจหรือพลิกแพลงเกม ทำให้เรายิ่งดรอปลงไป
วิว กุลวุฒิ เผยความรู้สึกในนัดชิงชนะเลิศดวล วิกเตอร์ อเซลเซ่น ว่า ตอนนั้นคิดว่าทำให้ดีที่สุด ต้องยอมรับว่าเขาเป็นชายเดี่ยวที่ดีที่สุด ถ้าเทียบสถิติกันเราสู้ไม่ได้ การมาถึงรอบชิงชนะเลิศซึ่งเป็นครั้งแรกของผมด้วย ก็ทำได้เต็มที่ที่สุดแล้ว เขาคือของจริง เพราะตียังไงก็ตีไม่ตาย เพราะฉะนั้นเราก็เรียนรู้จากเขาให้ได้มากที่สุด
การที่ได้แข่งกับอเซลเซ่นก็รู้สึกดี เพราะเขาเป็นนักกีฬาระดับโลก เราก็ต้องยอมรับ เราได้เรียนรู้จากเขาถือเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ ส่วนการที่ตีเขาไม่ตายเป็นเรื่องปกติ เพราะเขาตัวสูงมาก ๆ แต่ก็จะพยายามพัฒนาตัวเองต่อไป
ส่วนอีกหนึ่งคู่แข่งที่มองว่ารับมือได้ยากคือ หลี ชีเฟง จากประเทศจีน ที่ตัวสูงเหมือนกัน เกมบุกเกมรับก็ค่อนข้างดีเหมือนกัน เป็นคนที่เล่นด้วยแล้วอึดอัดเหมือนกัน
ส่วนกรณีไวรัลที่โค้ชเข้ามาพูดคุย มองว่าเป็นกำลังใจที่ดี เพราะการเข้าชิงโอลิมปิกเป็นโอกาสที่หายาก ไม่รู้ว่าอีก 4 ปีข้างหน้าจะได้เล่นไหม ถ้าได้เล่นแล้วจะมีโอกาสเข้าถึงเหรียญไหม รู้สึกว่าครั้งนี้เป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ และโค้ชเป้ ก็ให้กำลังใจดีมากในการแข่งขัน เป็นแนวหยอกล้อแบบพี่น้องกัน เพราะเราไม่มีการเพิ่มความกดดันให้กัน ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตัวเอง ให้กำลังใจกัน ทั้งโค้ชเป้และโค้ชอาร์ต ก็คุยกันและให้กำลังใจกัน
"เมย์ รัชนก"-"โค้ชเป้ง" 2 คนสำคัญของ "เด็กชายกุลวุฒิ"
วิว กุลวุฒิ เผยว่า เริ่มเล่นแบดมินตันครั้งแรกตั้งแต่อายุ 7 ขวบ เนื่องจากเป็นโรคภูมิแพ้ตั้งแต่เด็ก เป็นโรคประจำตัว ต้องเข้าโรงพยาบาลค่อนข้างบ่อย ทำให้เสียค่าใช้จ่ายค่อนข้างเยอะ บวกกับว่าคุณพ่อเป็นครูสอนแบดมินตันพอดี เลยมาชวนตีแบดมินตันเพื่อให้ได้ออกกำลังกาย ร่างกายจะได้ดีขึ้น แม้ภูมิแพ้จะไม่หายขาด แต่ทำให้ดีขึ้น ไปหาหมอน้อยลง ค่าใช้จ่ายก็น้อยลง
สักพักหนึ่ง คุณพ่อเหมือนเห็นแวว เห็นพรสวรรค์ สอนอะไรก็ทำได้ เลยส่งเข้าเรียนสโมสรเสนานิคม ซึ่งเป็นสโมสรใกล้บ้าน ส่งเข้าไปเรียน ไปฝึกซ้อม เรียนหนังสือเสร็จ ตอนเย็นก็ไปฝึกซ้อม และเริ่มถูกส่งแข่งรายการแรก เป็นรายการที่ชื่อว่า "ศิษย์เอก" ซึ่งเป็นรายการที่นักกีฬาที่เคยได้รางวัลห้ามลง คือต้องเป็นหน้าใหม่จริง ๆ
ซึ่งในตอนนั้นคว้าที่ 3 มาได้ พอได้ที่ 3 ก็ได้เหรียญ ได้เงินรางวัลมา ทำให้รู้สึกว่า เงินรางวัลนี้สามารถแบ่งเบาภาระครอบครัวได้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการมาเป็นนักกีฬาอาชีพ
วิว กุลวุฒิ เผยต่อว่า เริ่มได้แชมป์ตั้งแต่อายุ 9 ขวบช่วงปลายปี จากนั้นก็ได้แชมป์มาตลอดในรุ่นนั้น ๆ และเล่นแบดมินตันมาโดยตลอด ขณะนั้นก็ยังอยู่ที่สโมสรเสนานิคมตลอด จนรู้สึกว่าเรามีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ จึงตัดสินใจย้ายมีที่บ้านทองหยอด ซึ่งที่นี่มีอุปกรณ์ครบ ทั้งโค้ช วิทยาศาสตร์การกีฬา ยิม ฟิตเนส ค่อนข้างครบ และเหมาะที่จะทำให้นักกีฬาไปถึงระดับโลก
เมื่อเข้าสู่บ้านทองหยอดก็กินนอนอยู่ที่นี่ ได้อยู่กับเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกัน รุ่นน้อง รุ่นพี่ เหมือนได้สังคมใหม่ จัดทีมใหม่ ก็เป็นเรื่องที่ดี ส่วนในเรื่องการกลับบ้าน ณ ตอนนี้จะมีเย็นวันอาทิตย์ และวันจันทร์หยุดทั้งวัน จะได้กลับบ้าน
วิว กุลวุฒิ เผยว่า ได้ย้ายมาที่บ้านทองหยอดเมื่อช่วงปี 2013 เป็นช่วงที่ "เมย์" รัชนก อินทนนท์ ได้แชมป์โลก ซึ่งหลังเข้ามายังบ้านทองหยอดก็มีโอกาสได้ตีด้วยกัน ตอนนั้นสู้พี่เมย์ไม่ได้ ปัจจุบันก็ยังสู้ไม่ได้ พี่เขาเป็นคนที่ดีมาก ๆ อัธยาศัยดีมาก ๆ เฟรนด์ลีกับทุกคน ถ้ามีอะไรที่พอช่วยเหลือได้เขาก็ช่วยเหลือได้เต็มที่ พอโตขึ้นได้มีโอกาสไปแข่งร่วมกับเขา ก็ได้รับคำแนะนำที่ดี
ในส่วนของโค้ชคนแรกในชีวิตของ วิว กุลวุฒิ อย่าง "โค้ชเป้ง" ผู้ล่วงลับ วิว กุลวุฒิ เผยว่า ก่อนหน้านี้จะมีส่งหากันตลอดว่า แมตช์นี้ได้แชมป์นะ แมตช์นี้แพ้นะ แมตช์นี้ทำได้ไม่ดี ในตอนเด็กรู้สึกว่าเราละเลยกับเขาเกินไป ทั้งที่เขาเป็นโค้ชเก่าเรา ก็รู้สึกว่าสายไปแล้วจริง ๆ และ ณ ตอนนี้ถ้ามีโอกาสก็คุยกับพี่ชายเขา ก็ดีเหมือนกันทั้งคู่
หลังจากที่ได้เหรียญ วิว กุลวุฒิ ได้ส่งความรู้สึกไปถึงโค้ชเป้ง ว่า ได้เหรียญโอลิมปิกแล้ว แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช้เหรียญทอง ก็ทำเต็มที่ที่สุดแล้ว ถ้าเป็นไปได้ อีก 4 ปีข้างหน้าก็อยากให้เป็นเหรียญทองเหมือนกัน
ครอบครัว-แฟนสาว กำลังใจของ "'วิว กุลวุฒิ"
วิว กุลวุฒิ เผยว่า "ไม่สูงต้องเขย่ง ไม่เก่งต้องขยัน" เป็นคติประจำใจตั้งแต่วัยเด็ก พอห็นประโยคนี้แล้วรู้สึกว่า มันใช่เลย และเราก็นำมาใช้กับการฝึกซ้อม เพราะอย่าลืมว่านักกีฬาก็ต้องมีช่วงที่ขึ้นมีช่วงที่ดรอป เพราะฉะนั้นเลยเอาสิ่งนี้มาปลุกใจตัวเอง ให้รู้ว่าเราท้อได้ แต่ว่าเราอย่าถอย เพราะฉะนั้นเรามีหน้าที่เกี่ยวกับอาชีพนี้ค่อนข้างสั้น เพราะฉะนั้นอย่างน้อยเราทำเต็มที่ก่อน ได้ไม่ได้ค่อยว่ากัน อย่างน้อยเราเลิกไปเราจะได้รู้สึกว่าเราทำเต็มที่กับตรงนี้แล้ว
ในวัยเด็ก ก็มีความรู้สึกที่ว่าต้องสูญเสียชีวิตวัยรุ่นบ้าง แต่ในมุมกลับกันเราก็แลกกัน ณ ตอนนี้เราได้ชื่อเสียง เงินทอง ซึ่งทำให้เราจับจ่ายใช้สอยได้ดีขึ้น เรียกได้ว่าได้อย่างเสียอย่าง เราก็ต้องเข้าใจ ไม่มีใครที่จะได้ทั้งสองอย่าง
ช่วงเวลาที่ท้อ วิว กุลวุฒิ เผยว่า ครอบครัวผมถือเป็นครอบครัวที่ดีมาก ๆ คอยสนับสนุนตลอดเวลา ช่วงที่ฟอร์มดีหรือฟอร์มไม่ดี ก็จะคอยอยู่ข้าง ๆ ตลอด ส่งกำลังใจให้ตลอดในทุกรายการ มีส่งข้อความมาหา ส่งวิดีโอคอลมาหา ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับนักกีฬาทุกคน ถ้ามีกำลังใจที่ดี เชื่อว่าทุกคนพร้อมที่จะไปต่อกับกีฬาของตัวเอง
ในส่วนของ "ปิ๋ม" แฟนสาวของวิว กุลวุฒิ ก็บอกว่าทำให้เต็มที่ โอลิมปิกเกมส์ยากอยู่แล้ว แต่ไหน ๆ เรามีโอกาสได้เล่น เราได้เป็นตัวแทนประเทศไทย เราก็ควรที่จะทำให้เต็มที่ อย่าให้เสียชื่อเสียงของประเทศชาติ
สำหรับเป้าหมายที่ต้องการคว้าแชมป์โลก, โอลิมปิก, และออล อิงแลนด์ ถือเป็นความฝันสูงสุด เพราะมองว่าเป็น 3 รายการที่ใหญ่ที่สุด จึงปรารถนามากที่สุด ส่วนรายการอื่น ๆ จะตกรอบแรกรอบสองรอบอะไรไม่ได้สนใจอะไร แต่ 3 รายการนี้ ผมต้องการที่จะได้มัน ส่วนจะได้ไม่ได้ไม่รู้ แต่ต้องการที่จะได้มัน
วิว กุลวุฒิ เผยว่า ขณะนี้ยังต้องฝึกซ้อมต่อ ในอีก 4 ปีข้างหน้าเราอายุมากขึ้น ไม่รู้ว่าจะเก็บคะแนนได้ไหม เพราะอย่าลืมว่าเราก็มีรุ่นน้องคอยพัฒนาเก็บเกี่ยวไต่แรงก์ขึ้นมา ก็เป็นเรื่องที่ยาก ต้องรอดูว่าช่วงนั้นจะมีอาการบาดเจ็บไหม ฟอร์มเป็นยังไง เลยมองไปทีละปีดีกว่า เพราะโอลิมปิกเกมส์ก็ถือว่าค่อนข้างยาก
"วิว กุลวุฒิ" กับลิเวอร์พูล
วิว กุลวุฒิ เผยว่า ณ ช่วงเวลาเด็กได้ใช้เคสโทรศัพท์ลายสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แล้วโค้ชเป้งที่เสียไปมาบอกว่า จะไปเชียร์ปีศาจแดงได้ยังไง เอ็งต้องมาเชียร์หงส์แดง ซึ่งขณะนั้นตนที่ได้ยินหงส์แดงก็รู้สึกว่าเท่กว่าปีศาจแดง ก็เลยศึกษา เปิดดูว่าตราโลโก้เป็นยังไง ก็รู้สึกว่าสวยดี เลยเลือกจิ้มติดตามว่าเราเชียร์ทีมนี้ ประมาณ 11-12 ขวบ ยุคเบรนแดน ร็อดเจอร์ส เป็นผู้จัดการทีม มีนักเตะที่ชอบที่สุดคือ เฟอร์นานโด ตอร์เรส แต่ไม่ทันดู ซึ่งถ้ายุคต่อมาก็ชอบ หลุยส์ ซัสเรส เพราะครบเครื่องทั้งความคม ความเร็ว ฟรีคิก การเลี้ยงกินตัว ทุกอย่างทำได้ดีหมด
เคยไปที่แอนฟิลด์มาแล้วช่วงโควิดพอดี ถือว่าน่าเสียดาย และช่วงนั้นน่าจะเป็นช่วงแดงเดือดด้วย แต่เกิดโควิด แมตชข์จึงเลื่อนไป เลยไปเป็นสเตเดียม ทัวร์แทน เดินดูสนาม รู้สึกว่ายิ่งใหญ่
สำหรับแมตช์ในความทรงจำของ วิว กุลวุฒิ คือ นัดดวลบาร์เซโลน่า รายการยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ที่สามารถพลิกกลับมาชนะได้ ซึ่งขณะนั้นโดนนำเกมแรกอยู่ 3-0 และมีเมสซี่อยู่ด้วย แต่ดีใจมากไม่ได้ เพราะมีเพื่อนร่วมห้อง ก็จะตื่นกัน เวลาเตะกลางคืนถ้าไม่ใช่แมตช์สำคัญก็จะไม่ตื่นมาดู เพราะจะเตะสักตีสองตีสาม บางทีถ้าดึกมากก็ไม่ได้ดู เพราะต้องซ้อมเช้าในวันรุ่งขึ้น
วิว กุลวุฒิ เผยอีกว่า วันไหนถ้าลิเวอร์พูลแข่งชนะ จะมีกำลังใจพิเศษ สมมติว่าต้องแข่งพรุ่งนี้ แล้วคืนนี้ลิเวอร์พูลชนะ เหมือนมีแรงจูงใจเพิ่มขึ้น ไม่รู้ว่าจะชนะหรือแพ้ แต่มันฮึกเหิม เป็นการเพิ่มพลังทางจิตใจ ถ้ามีเวลามีโอกาสก็อยากไปดู
ในส่วนของ อาร์เน่อ สลอต เฮดโค้ชคนใหม่ของลิวเอร์พูล วิว กุลวุฒิ เผยว่า ถ้าดูตามสกอร์ก็ถือว่าค่อนข้างโอเค แต่ยังไม่มีโอกาสได้ดูสด เพราะตามเวลาที่แข่งจะแข่งดึก เลยไม่รู้ว่าฟอร์มจริง ๆ เขาเป็นยังไง ถ้ามีโอกาสก็อาจจะต้องดูหน่อย พอบอลเปลี่ยนโค้ชก็ไม่รู้ว่าจะไปในทิศทางไหน ส่วนตลาดซื้อขายในฤดูกาลนี้อยากให้ซื้อเพิ่มหน่อย เพราะปล่อยไปเยอะ มองว่าตัวสำรองต้องทดแทนกับตัวจริงได้
วิว กุลวุฒิ เผยว่า ลิเวอร์พูล กับ วิว กุลวุฒิ มีความเหมือนกันตรงที่ไม่ยอมแพ้จนกว่าจะหมดเวลา และถ้ามีโอกาส มีเวลา ก็พร้อมที่จะไปดูเกมที่แอนฟิลด์