มัณฑะเลย์ เมืองที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และความศักดิ์สิทธิ์ของศาสนา ที่นี่มีทั้งพระราชวังเก่าแก่ วัดวาอารามงดงาม และวิถีชีวิตเรียบง่ายที่สะท้อนเสน่ห์แบบเมียนมาแท้ๆ พร้อมให้คุณออกเดินทางไปค้นพบด้วยตัวเอง!
หากพูดถึงประเทศที่เต็มไปด้วยมนต์ขลังแห่งศรัทธา สถาปัตยกรรมสุดอลังการ และวิถีชีวิตที่เรียบง่ายแต่แฝงไปด้วยเสน่ห์ เมียนมาคือหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่คุณไม่ควรมองข้าม!
ที่นี่ไม่ได้มีแค่เจดีย์สีทองระยิบระยับ หรือพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมที่ลึกซึ้ง และบรรยากาศที่ทำให้ทุกคนที่มาเยือนต้องตกหลุมรัก ไม่ว่าจะเป็นมหาเจดีย์ชเวดากองอันยิ่งใหญ่ เมืองโบราณพุกามที่มีเจดีย์กว่า 2,000 องค์

เตรียมตัวให้พร้อม เพราะการเดินทางสู่เมียนมาในครั้งนี้จะพาคุณไปสัมผัสกับเสน่ห์ที่ซ่อนอยู่ และบอกเลยว่า... ไปแล้วต้องอยากกลับไปอีกแน่นอน!
"พระราชวังมัณฑะเลย์" มรดกสุดท้ายก่อนพม่าสูญเสียเอกราช
พระราชวังมัณฑะเลย์เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญที่สะท้อนความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรพม่า สร้างขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 2400 – 2404 โดยพระเจ้ามินดง หลังจากมีการย้ายเมืองหลวงจากอมรปุระมายังมัณฑะเลย์ โครงสร้างหลักของพระราชวังทำจากไม้สักทอง และออกแบบตามแนวคิดภูมิจักรวาลแบบพราหมณ์-พุทธ ซึ่งเปรียบเสมือนศูนย์กลางของโลก (เขาพระสุเมรุ) พระราชวังแห่งนี้ล้อมรอบด้วยกำแพงทั้งสี่ทิศ พร้อมคูน้ำที่เสริมความมั่นคง โดยแต่ละทิศมีประตูทางเข้า 3 ประตู รวมทั้งหมด 12 ประตู บานประตูแต่ละบานสลักสัญลักษณ์จักรราศี ส่วนทิศทางของพระราชวังนั้นหันหน้าไปทางตะวันออก ตัวอาคารมีเพียงหนึ่งชั้นแต่แฝงไว้ด้วยความวิจิตรงดงาม
พระราชวังมัณฑะเลย์มีความสำคัญต่อราชวงศ์พม่า เนื่องจากเป็นที่ประทับของพระเจ้ามินดงและพระเจ้าสีป่อ ซึ่งเป็นกษัตริย์สองพระองค์สุดท้ายของพม่า ทว่าความรุ่งเรืองต้องสะดุดลงเมื่อสงครามอังกฤษ-พม่าครั้งที่สามเกิดขึ้น ส่งผลให้พม่าสูญเสียเอกราชในสมัยพระเจ้าธีบอ สมบัติล้ำค่าภายในพระราชวังถูกปล้นไป รวมถึงหอสมุดหลวงที่เก็บรักษาคัมภีร์ใบลานโบราณก็ถูกเผาทำลาย
ปัจจุบัน พระราชวังมัณฑะเลย์เปิดให้เข้าชมตั้งแต่ 07.30 – 16.30 น. นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้เฉพาะพื้นที่หมู่มหามณเฑียร ส่วนพื้นที่อื่นไม่เปิดให้เข้าชมเนื่องจากเป็นเขตของกองทัพพม่า การรักษาความปลอดภัยจึงค่อนข้างเข้มงวด
"วิหารชเวนันดอว์" อัญมณีแห่งงานแกะสลักไม้สัก
วิหารชเวนันดอว์ หรือ Golden Palace Monastery เป็นหนึ่งในสถานที่ที่งดงามและทรงคุณค่าทางศิลปะของพม่า อดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของพระราชวังมัณฑะเลย์ ความโดดเด่นของที่นี่คือสถาปัตยกรรมไม้สักทั้งหลัง พร้อมลวดลายแกะสลักอันวิจิตรที่สะท้อนพุทธประวัติและทศชาติของพระพุทธเจ้า

แม้ชื่อ "ชเวนันดอว์" จะแปลว่า "วิหารไม้สีทอง" แต่ตัวอาคารทำจากไม้เนื้อแข็งสีดำ และใช้ไม้สักทองแกะสลักประดับรายละเอียดต่างๆ นอกจากนี้ยังเคยปิดทองคำแท้ไว้ทั่วทั้งหลัง แต่กาลเวลาและสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้ความงดงามนี้เลือนหายไป โชคดีที่พระเจ้าสีป่อทรงย้ายวิหารออกจากเขตพระราชฐานก่อนที่พระราชวังมัณฑะเลย์จะถูกระเบิดจนพังราบ

วิหารแห่งนี้เคยเป็นพระตำหนักของพระเจ้ามินดง ซึ่งใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติสมาธิและเป็นที่สิ้นพระชนม์ หลังจากนั้น พระเจ้าสีป่อทรงถวายพระตำหนักให้เป็นวัด ปัจจุบันกลายเป็นวัดมณเฑียรทองหรือวัดชเวนันดอว์ นักท่องเที่ยวที่ต้องการเข้าชมต้องซื้อตั๋วรวมสำหรับสถานที่ท่องเที่ยวในมัณฑะเลย์ ราคาประมาณ 10,000 จ๊าด หรือราว 250 บาท
ศรัทธาอันยิ่งใหญ่แห่งพม่า "วัดพระมหามัยมุนี"
วัดพระมหามัยมุนีเป็นหนึ่งใน 5 มหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพม่า และเป็นที่ประดิษฐาน "พระมหามัยมุนี" พระพุทธรูปทองคำศักดิ์สิทธิ์สูง 12 ฟุต 7 นิ้ว หนักถึง 6.5 ตัน เชื่อกันว่าเป็นพระพุทธรูปมีชีวิตเพราะได้รับประทานลมหายใจจากพระพุทธเจ้า

จุดเด่นของวัดคือ "พิธีล้างพระพักตร์" ซึ่งจัดขึ้นทุกเช้าเวลา 04.00 น. โดยเจ้าอาวาสจะล้างพระพักตร์ด้วยน้ำอบผสมทานาคา แปรงพระโอษฐ์ด้วยแปรงทอง และเช็ดด้วยผ้าขนหนูที่ภายหลังจะถูกแจกจ่ายให้ผู้ศรัทธานำไปบูชา ถือเป็นของมงคลสูงสุด
วัดยังเก็บรักษาโบราณวัตถุจากกรุงศรีอยุธยา และเทวรูปสำริดศิลปะขอม ชาวพม่าเชื่อว่า หากมีอาการเจ็บปวดร่างกาย ให้นำมือไปลูบคลำเทวรูปตรงตำแหน่งที่เจ็บปวดเพื่อช่วยบรรเทาอาการ
สัญลักษณ์แห่งสันติในกรุงเนปยีดอ "เจดีย์อุปปาตะสันติ"
เจดีย์อุปปาตะสันติ หรือ "เจดีย์แห่งความสุข" เป็นแลนด์มาร์กสำคัญของกรุงเนปยีดอ เมืองหลวงของพม่า สร้างขึ้นเพื่อปกป้องประเทศจากภัยอันตราย ตัวเจดีย์สูง 99 เมตร และได้รับการออกแบบให้คล้ายกับเจดีย์ชเวดากองในย่างกุ้ง แต่มีขนาดเล็กกว่าเล็กน้อย

ภายในประดิษฐานพระพุทธเจ้าสี่พระองค์แกะสลักจากหินอ่อน และมีภาพแกะสลักพุทธประวัติที่ประดับอยู่ทั่วบริเวณ ก่อนขึ้นไปนมัสการ นักท่องเที่ยวต้องสวมโสร่งตามธรรมเนียมพม่า และเดินขึ้นบันไดกว่า 300 เมตร
เจดีย์อุปปาตะสันติเริ่มก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. 2549 และเสร็จสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2552 โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลพม่า แม้จะถูกสร้างขึ้นเพื่อเลียนแบบเจดีย์ชเวดากอง แต่ชื่อ "อุปปาตะสันติ" มีความหมายว่า "ป้องกันเภทภัย" สะท้อนถึงบทบาทของเจดีย์ในการปกป้องบ้านเมือง
เจดีย์แห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับชาวพม่า แต่ยังเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาที่สะท้อนถึงศรัทธาอันแรงกล้า และเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับผู้แสวงบุญที่ต้องการสัมผัสบรรยากาศแห่งสันติอย่างแท้จริง