ไขคำตอบ "แพทองธาร" หนีภาษีหรือไม่? หลัง "อภิปรายไม่ไว้วางใจ 2568" ถามถึงตั๋ว PN
CEO iTAX ไขคำตอบ "แพทองธาร ชินวัตร" หนีภาษีหรือไม่? หลัง "วิโรจน์" ตั้งคำถามเรื่องตั๋ว PN บนเวที "อภิปรายไม่ไว้วางใจ 2568"
ผศ.ดร.ยุทธนา ศรีสวัสดิ์ CEO ผู้ก่อตั้ง iTAX และรองคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Mickey Yutthana Srisavat ให้ความรู้เกี่ยวกับการจ่ายภาษีและการชำระค่าหุ้นในรูปแบบตั๋วสัญญาใช้เงิน หรือ ตั๋ว PN หลังจากการ “อภิปรายไม่ไว้วางใจ 2568” ฝ่ายค้านตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการรับโอนหุ้นมูลค่าประมาณ 4,400 ล้านบาท จากญาติพี่น้องของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมตั้งคำถามเกี่ยวกับการเสียภาษีนั้น

ผศ.ดร.ยุทธนา ระบุว่า ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ มีการเปิดเผยข้อมูลว่า นายกรัฐมนตรีเคยได้รับโอนหุ้นจากญาติพี่น้องในรูปแบบสัญญาซื้อขาย มูลค่าประมาณ 4,400 ล้านบาท แต่ยังไม่ได้ชำระเงินค่าหุ้น ติดหนี้ไว้ในรูปแบบตั๋วสัญญาใช้เงิน (Promissory note: PN) หรือ อธิบายง่ายๆ คือ ออกเอกสารฉบับหนึ่งไว้ให้เจ้าหนี้ แล้วบอกว่าตอนนี้ยังไม่พร้อมชำระค่าหุ้น หากเจ้าหนี้อยากใช้เงินให้เอาตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับนี้มาทวงจะใช้เงินให้ทันที
“เรื่องนี้เป็น PN แบบใช้เงินเมื่อทวงถาม และไม่กำหนดดอกเบี้ย แปลว่า เจ้าหนี้ไม่คิดดอกเบี้ย และอยากได้เงินเมื่อไหร่ก็ไปทวงเมื่อนั้น การรับโอนหุ้นจากญาติพี่น้องหลายคน ยังไม่ได้รับชะรำเงินและยังไม่มีการทวงถามให้ใช้เงินแต่อย่างใด”
ใครต้องเสียภาษี นายกฯ หรือ ญาติ ?
ผศ.ดร.ยุทธนา ระบุว่า ถ้าดูตามหน้ากระดาษ ธุรกรรมนี้คือสัญญาซื้อขาย นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้ซื้อไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษี ส่วนคนขายเป็นคนได้เงิน ต้องเป็นคนเสียภาษี แต่เรื่องนี้มี 2 ประเด็นที่ต้องพิจารณาก่อน เพราะคนขายอาจจะไม่ต้องเสียภาษีก็ได้
1.ขายหุ้นในราคาขาดทุนหรือเท่าทุน เช่น สมมติว่าพี่สาวขายหุ้นให้นายกฯ ในราคา 2,388.7 ล้านบาท แต่พี่สาวก็ได้หุ้นมาราคา 2,388.7 ล้านบาทเท่ากัน แบบนี้ต่อให้ได้เงินมาจริง แต่ก็ได้กำไร 0 บาท จึงไม่ต้องเสียภาษีอยู่ดี หรือกรณีคนขายได้กำไร และต้องเสียภาษี ถ้าเป็นการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯ แม้จะได้กำไรก็ไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งข้อเท็จจริงเรื่องนี้เป็นการขายหุ้นนอกตลาดฯ จึงไม่น่ามีประเด็นยกเว้นภาษีจากกำไร
2.ขายหุ้นได้กำไร แต่ยังไม่ได้เงินจริง เพราะภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีหลักการรับรู้เงินได้ตามเกณฑ์เงินสด (cash basis) ถ้าแปลง่ายๆ คือ ได้เงินจริงปีไหน ค่อยให้เป็นเงินได้ที่ต้องเสียภาษีปีนั้น เทียบเคียงกับกรณีขายหุ้นนี้ นายกฯ ไม่ได้ชำระเป็นเงินสด หรือโอนเงิน หรือจ่ายเช็ค หรือแม้แต่เอาทรัพย์สินหรือประโยชน์ใดไปแลกหุ้นมา มีเพียงตั๋ว PN ที่บอกว่าติดเงินไว้ก่อน ดังนั้น ตราบเท่าที่คนขายยังไม่ได้เงินซักที (เพราะยังไม่ได้ทวงเงินจากคนซื้อ) ก็เลยยังไม่มีกำไรที่ต้องนำไปเสียภาษี
“จุดนี้จะมองว่าเป็นช่องสุญญากาศของกฎหมายก็ได้ เพราะที่จริงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตั้งใจเลือกใช้เกณฑ์เงินสดเพื่อความสะดวกและเข้าใจง่ายของประชาชนทั่วไป บุคคลธรรมดาจึงได้ประโยชน์จากการปรับใช้กฎหมายแบบนี้ ซึ่งถ้างานนี้คนขายเป็นบริษัทจะใช้เกณฑ์อีกแบบที่ต้องเสียภาษีทันทีที่ขายได้กำไรแม้จะยังไม่ได้เงินเข้ากระเป๋าก็ตาม”
“ภาษีรับให้” เกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร ?
ผศ.ดร.ยุทธนา ระบุว่า ถ้าโอนหุ้นให้โดยไม่ได้เงินและคนขายก็ดูไม่มีวี่แววจะทวงเงินด้วย แบบเราควรจะมองธุรกรรมนี้เป็นการให้เปล่ามากกว่าหรือไม่ เพราะถ้าเป็นการให้เปล่าจริงๆ นายกฯ จะกลายเป็นคนที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีแทน
โดยปกติ การได้รับทรัพย์สินมาเปล่าๆ เช่น โอนหุ้นมาให้เฉยๆ ถ้า 1 ปีได้รับไม่เกิน 10 ล้านบาทจะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี (ถ้าคนให้เป็นบุพการี คู่สมรส หรือลูกหลาน จะได้ขยายเพดานเพิ่มเป็น 20 ล้านบาท) แต่ถ้าได้รับเกินกว่านั้นจะต้องเสียภาษีการรับให้ 5% ของส่วนเกินดังกล่าว
ผศ.ดร.ยุทธนา ระบุด้วยว่า สมมติว่าพี่สาวโอนหุ้นให้นายกฯ มูลค่า 2,388.7 ล้านบาท ภายในปีเดียวกันโดยไม่มีค่าตอบแทน พี่สาวไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษี แต่นายกฯ มีหน้าที่ต้องเสียภาษีในฐานะผู้ที่ได้รับทรัพย์สินมูลค่าเกิน 10 ล้านบาทในคราวเดียว แต่ถ้าทยอยปีละไม่เกิน 10 ล้านบาท สามารถทำได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ต้องใช้เวลานานถึง 239 ปี
ถูกใจ vs ถูกกฎหมาย เป็นเรื่องที่ต้องแยกให้ออก
ผศ.ดร.ยุทธนา ระบุว่า คำว่า “หนีภาษี” เป็นคำที่ต้องใช้อย่างระมัดระวังมากๆ เพราะโดยปกติเราจะสงวนไว้ใช้กับพฤติกรรมที่ดำสนิทจริงๆ เช่น เอาบัตรประชาชนของคนอื่นที่มีรายได้น้อยๆ มารับรายได้แทนตัวเองเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียภาษีแพง หรือขายของออนไลน์ได้กำไรเป็นล้านๆ แต่ไม่เคยยื่นภาษีหรือจ่ายภาษีซักบาท เป็นต้น
“กรณีของนายกฯ อาจเรียกได้ว่าเป็นการวางแผนภาษีแบบดุดัน (Aggressive tax planning) คือ วางแผนภาษีแบบรัดกุมสุดๆ และถูกกฎหมายทุกประการ แต่ขัดใจความรู้สึกของใครหลายคน และมองว่าเป็นการเลี่ยงภาษี (Tax avoidance) โดยการใช้ช่องว่างทางกฎหมาย”
ผศ.ดร.ยุทธนา ระบุว่า อย่างไรก็ตามถึงกฎหมายจะกำหนดให้คนไทยมีหน้าที่ต้องเสียภาษี แต่ไม่มีกฎหมายข้อไหนบังคับให้ต้องเสียภาษีแพงที่สุดเท่าที่จะเสียได้ ดังนั้น การเลือกหนทางที่ทำให้ตัวเองเสียภาษีน้อยที่สุด ย่อมเป็นสิทธิที่สามารถทำได้ทราบเท่าที่เป็นการดำเนินการที่ถูกต้องตามกฎหมาย
เราอาจจะต้องแยกให้ออกด้วยว่า “ถูกกฎหมาย” vs. “ถูกใจ” เป็นคนละเรื่องกัน

“ถูกกฎหมาย” แต่ไม่ “ถูกใจ” เผื่อใจถึงความรับผิดชอบทางการเมือง
ผศ.ดร.ยุทธนา ระบุอีกว่า เมื่อ 19 ปีก่อน ครอบครัวของนายกฯ ก็เคยขายหุ้น “ชินคอร์ป” มูลค่า 73,271 ล้านบาท โดยไม่ต้องเสียภาษีซักบาท ซึ่งแม้ภายหลังจะมีคดีขึ้นสู่ศาลภาษีอากรเพื่อเก็บภาษีในส่วนนี้ แต่ท้ายที่สุดศาลพิพากษายกฟ้องอยู่ดี
แน่นอนว่าถึงจะ “ถูกกฎหมาย” แต่ก็ไม่ได้ “ถูกใจ” ทุกคนด้วย ยิ่งเกี่ยวข้องกับนายกฯ ก็ต้องเผื่อใจเรื่องความรับผิดชอบทางการเมืองต่อความรู้สึกของประชาชน และการเปิดช่องให้ฝ่ายค้านโจมตีได้ ซึ่งมันก็เป็นไปได้ว่าใครบางคนรู้สึกไม่สบายใจที่นายกฯ มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกรรมนี้แล้วจะไม่อยากสนับสนุนนายกฯ ต่อ ก็เป็นประเด็นทางการเมืองที่นายกฯ และพรรคการเมืองที่ท่านสังกัดต้องรับมือต่อไป
“ท่านต้องรู้อยู่แล้วว่าคนไทยพร้อมใส่ใจท่านนายกฯ เสมอ รถทัวร์ก็รออยู่แล้วหลายคัน งานทอดกฐินก็มีคนพร้อมจองตลอดเวลา อบอุ่นแน่นอน”
ผศ.ดร.ยุทธนา ระบุว่า เรื่องนี้นายกฯ ได้ชี้แจงว่าตอนนั้นไม่พร้อมชำระเงินตามตั๋ว PN แต่ได้ตกลงกับครอบครัวแล้วว่าจะชำระเงินค่าหุ้นให้ภายในปีหน้า นั่นหมายความว่าธุรกรรมซื้อขายหุ้นนี้ ในท้ายที่สุดผู้ขายก็จะต้องเสียภาษีอยู่ดี ไม่ใช่นายกฯ ในฐานะผู้ซื้อหุ้นอยู่แล้ว
ผศ.ดร.ยุทธนา ระบุอีกว่า มีเกร็ดเล็กน้อยที่น่าสนใจว่า การเสียภาษีช้าหน่อยก็เป็นเทคนิคการประหยัดภาษีรูปแบบนึงเช่นกัน เพราะการยื้อเวลาจ่ายภาษีให้ช้าที่สุด (Tax deferral) ก็ช่วยให้มีกระแสเงินสดไปหมุนเพื่อสร้างรายได้ระหว่างรอชำระภาษีได้ด้วยเหมือนกัน ถึงแม้สุดท้ายจะต้องจ่ายภาษีจำนวนเท่าเดิม แต่การเสียภาษีช้าก็ได้ประโยชน์มากกว่าเสียภาษีทันที
สรุปนายกฯ “อิ๊งค์” หนีภาษีหรือไม่ ?
ผศ.ดร.ยุทธนา ระบุว่า จากข้อมูลเท่าที่มีตอนนี้ ถามว่าถึงขั้นหนีภาษีมั้ย? คำตอบคือ “ไม่เป็นความจริง“ ส่วนเหตุเรื่องขายหุ้นไม่เสียภาษีของครอบครัวท่านนายกฯ นี้จะเป็นสารตั้งต้นไปสู่เหตุการณ์แบบปี 2549 ได้อีกหรือไม่? คำตอบคือ “ไม่รู้ๆๆ”
“สุดท้ายนี้ ถึงผมจะอายุมากกว่าท่านนายกฯ แต่ผมก็มั่นใจว่าผมเสียภาษีให้รัฐน้อยกว่าท่านแบบถูกกฎหมายแน่ๆ เพราะผมใช้ iTAX”
ติดตาม : ถ่ายทอดสด อภิปรายไม่ไว้วางใจ 2568