25 มีนาคม 2568 วันที่สองของสภาผู้แทนราษฎร เปิดประชุมนัดพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล โดยการอภิปรายไม่ไว้วางใจ 2568 ฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจเพียงรายเดียว คือ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
สำหรับวันแรกของการ “อภิปรายไม่ไว้วางใจ 2568” ฝ่ายค้านตั้งข้อสังเกตถึงความไม่เหมาะสมทั้งด้านคุณสมบัติ และวุฒิภาวะทางการเมือง ล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจ
ปิดฉากซักฟอก! ฝ่านค้านซัดนายกฯ หนีภาษี-หนีหน้าที่-หนีความจริง
เวลา 21.35 น. นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายสรุปญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตอนหนึ่งว่า ความขัดแย้งทางการเมือง 20 ปีที่ผ่านมา สามารถสรุปได้ 2 ประโยค คือ 20 ปีที่แล้วประเทศไทยสูญเสียไปทุกอย่างเพื่อเอาทักษิณ ชินวัตร ออกนอกประเทศ และ 20 ปีผ่านมา ประเทศไทยกำลังจะสูญเสียทุกอย่างอีกครั้ง เพื่อเอาทักษิณ ชินวัตร กลับมาในประเทศนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ตนกำลังสื่อสารว่าดีลแลกประเทศคืออะไร แล้ววันนี้กลายเป็นว่าครอบครัวนายกฯไปร่วมขบวนการนั้นแล้ว และมันเปลี่ยนอะไรไม่ได้ อย่างไรก็ตามยืนยันว่าฝ่ายค้านไม่ได้ประดิษฐ์วาทะกรรม หรือใส่ร้ายป้ายสี เพราะเป็นการกล่าวหาในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากถูกกล่าวหาก็ควรชี้แจง ไม่ใช่โยนข้อกล่าวหากลับมาที่ฝ่ายค้าน
อย่างไรก็ตามในระหว่างที่ผู้นำฝ่ายค้านกำลังอภิปราย ได้มี สส.ฝั่งรัฐบาล ลุกขึ้นประท้วง ว่าการอภิปรายสรุปของผู้นำฝ่ายค้าน ซึ่งในลักษณะการตั้งคำถามไปเรื่อยๆ ซึ่งไม่เป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ และนอกจากนั้นนายกฯเองก็ไม่มีสิทธิลุกขึ้นตอบแล้วเพราะเป็นการอภิปรายสรุปการอภิปราย ซึ่งควรจะสรุปประเด็นที่อภิปรายตลอด 2 วันที่ผ่านมา เพราะหากอภิปรายสรุปแล้วจะไม่มีการชี้แจงได้อีก
ขณะที่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร บอกว่าตนวินิจฉัยแล้วว่าผู้นำฝ่ายค้านยังอภิปรายอยู่ในญัตติ และหากมีประเด็นใหม่ขึ้นมานายกฯก็สามารถใช้สิทธิที่จะชี้แจ้งได้ แต่หลังจากนั้น สส.ฝั่งรัฐบาล ยังคงประท้วงว่าไม่สามารถอภิปรายในประเด็นใหม่ได้ ซึ่ง สส.ฝ่ายค้านก็มีการลุกขึ้นประท้วงว่าประธานในที่ประชุมมีการวินิจฉัยแล้ว ก็ควรจะเดินหน้าต่อ แต่ก็ยังมีการประท้วงตอบโต้กันไปมา โดยใช้เวลากว่า 20 นาที จากนั้นประธานสภาผู้แทนราษฎร จึงได้สรุปว่า ขอให้ผู้นำฝ่ายค้านอย่าอภิปรายในประเด็นใหม่ หรือตั้งคำถาม เพราะรัฐบาลจะไม่สามารถชี้แจงได้แล้ว
หลังจากนั้น นายณัฐพงษ์ อภิปรายสรุปว่า ฝ่ายค้านได้ตั้งข้อกล่าวหาหลายข้อพาดพิงนายกฯโดยตรง ทั้งการขาดความรู้ความสามารถ ขาดภาวะการเป็นผู้นำ ขาดวุฒิภาวะ และเจตจำนงทางการเมือง โดยเฉพาะเรื่องเจตจำนงทางการเมืองนั้น 3 ประเด็นหลักที่ฝ่ายค้านอยากได้ยินคือเมื่อไหร่ที่รัฐบาลจะหยุดเอาใจกลุ่มทุน จะหยุดเอาใจกลุ่มอำนาจเดิม จะหยุดบิดเบือนกฎหมายเปลี่ยนดำเป็นขาว ดังนั้นตนจึงขอกล่าวหานายกฯจงใจทำธุรกรรมอำพรางวางแผนเพื่อหนีภาษี และกล่าวหานายกฯอิงแอบกลุ่มทุนเอาใจกลุ่มอำนาจเก่าละเว้นการใช้อำนาจหน้าที่ในฐานะนายกฯ และกล่าวหาว่านายกฯเป็นคนไม่มีความรู้ความสามารถและไม่มีความตั้งใจในการแก้ไขปัญหา เลือกหยิบแต่ตัวเลขดีๆมาหลอกสังคม ทำตัวหนีความจริง รวมเป็น 3 หนี วางแผนเพื่อหนีภาษี ละเว้นและหนีหน้าที่ ทำตัวหนีความจริง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ตนไม่สามารถไว้วางใจนายกฯให้ดำรงตำแหน่งต่อไปได้
จากนั้นเวลา 22.25 น. นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร จึงมีการนัดที่ประชุมเพื่อลงมติในเวลา 10.00 น. ก่อนจะปิดการประชุม
"แพทองธาร" ซัดกลับ! ปมถูกครอบงำ ลั่นถูกพ่อครอบงำยังดีกว่าไม่รู้ใคร
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี อภิปรายชี้แจงรอบที่สอง ในการประชุมอภิปรายไม่ไว้วางใจวันนี้ (25 มี.ค.) ตอกกลับฝ่ายค้าน ปมกล่าวหาถูกครอบงำ โดยระบุว่า "ถูกพ่อครอบงำยังดีกว่าถูกคนที่ไม่ใช่พ่อครอบงำ" พร้อมย้อนถามฝ่ายค้านว่า สิ่งที่ย้ำซ้ำ ๆ เป็นสิ่งที่ตัวเองขาดหรือไม่
นายกฯ ยังกล่าวถึง "ดีลแลกประเทศ" ชี้ทุกพรรคเคยมีการเจรจาทางการเมือง และย้อนว่าพรรคฝ่ายค้านเคยขอให้พรรคเพื่อไทยโหวตแคนดิเดตนายกฯ ให้ แต่พรรคฝ่ายค้านกลับไม่เคยโหวตให้เพื่อไทยเลย
ส่วนกรณีส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน รัฐบาลยืนยันปฏิบัติตามหลักมนุษยธรรม และได้รับการรับรองจากจีนว่าผู้ถูกส่งตัวปลอดภัย
นายกฯ ทิ้งท้าย ท้าให้ฝ่ายค้านประกาศให้ชัดว่าสมัยหน้าจะร่วมงานกับใคร เพื่อสร้างการเมืองที่โปร่งใสให้ประชาชน
“ภูมิธรรม” เหน็บแรง!! ฟังอภิปราย 2 วันไม่มีประเด็นใหม่ ไล่ฝ่ายค้านไปอ่านข่าวเก่า
เวลา 21.00 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ชี้แจงตอนหนึ่งว่า 2 วันในการอภิปรายคิดว่าคงมีอะไรใหม่ๆมาพูด มาอภิปราย เสนอแนะให้เรารับทราบ เพื่อไปปรับปรุงใช้ให้เป็นประโยชน์ แต่ตนนั่งฟังอยู่ 2 วันเอาข่าวหนังสือพิมพ์ เอาข่าวสัมภาษณ์มาโยงผูกกันเป็นเรื่องเป็นราวมากมาย เลือกจะตอบก็ไม่รู้จะตอบยังไง เพราะตอบในหน้าหนังสือพิมพ์มาทั้งปีแล้ว ซึ่งถ้าจะตอบก็คงต้องหยิบหน้าหนังสือพิมพ์มาร้อยเรียงกันใหม่
ทั้งนี้ตนอยากให้การอภิปรายเป็นเรื่องที่หยิบเอาประเด็นต่างๆ ซึ่งถ้าเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจต้องมีประเด็นใหม่ ที่คิดว่าเป็นเรื่องการทำลายประเทศ หรือไม่สมควรบริหารประเทศ ดังนั้นตนจึงจะชี้แจงในบางเรื่องเท่านั้น เพราะหากเป็นเรื่องที่อยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์เก่าแล้ว ท่าก็กลับไปที่ห้องสมุดแล้วไปหยิบหนังสือพิมพ์เหล่านั้นมาดูก็จะมีคำตอบอยู่ในนั้นอยู่แล้ว
ทั้งนี้กรณีมีการอภิปรายเรื่องปฏิรูปกองทัพ มีการคุยกับผู้บัญชาการเหล่าทัพทั้งหมด และมีการตกลงกันชัดเจนว่ากองทัพต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนไป ซึ่งที่ผ่านมาการพัฒนาของกองทัพอาจจะไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่ยืนยันทหารสมัยนี้เป็นทหารยุคใหม่ และมีการกำหนดยุทธศาสตร์ในการปฏิรูปกองทัพแล้ว ส่วนเรื่องการยกเลิกเกณฑ์ทหาร เรื่องนี้ทำมานานแล้ว จะยกเลิกง่ายๆไม่ได้ อย่างน้อยถ้ามีภัยสงครามกองทัพต้องปกป้องประเทศได้ ต้องอยู่บนความเป็นจริงไม่ใช่อยู่ในจินตนาการ ซึ่งไม่สามารถทำวันเดียวได้ ทุกอย่างจะต้องใช้เวลา ส่วนเรื่องลดนายพลก็ต้องใช้เวลาเช่นเดียวกัน อยู่ๆจะไปไล่ออกเลยก็ไม่ได้
ส่วนเรื่องเรือดำน้ำ เป็นเรื่องตกค้างจากรัฐบาลอื่น รัฐบาลนี้ก็ต้องมาแบกรับปัญหา ตนได้ทำหนังสือถึง รมว.กลาโหมเยอรมนี ว่าขอซื้อเครื่องยนต์แล้วหาคนที่ติดตั้งแทน และได้ทำหนังสือถึงประเทศที่มีเรือดำน้ำเครื่องยนต์จีนให้ช่วยประเมินประสิทธิภาพการทำงาน ซึ่งก็ต้องรอคำตอบ และอีกไม่นานนี้ตนก็จะต้องตัดสินใจเรื่องนี้ ส่วนเรื่องไอโอ ยืนยันว่ารัฐบาลนี้ไม่มีนโยบายแบบที่ถูกกล่าวหา และตนก็เพิ่งรับทราบว่ามีเรื่องนี้ ก็จะไปดำเนินการสืบสวนสอบสวนเรื่องนี้ให้ชัดขึ้น
ทั้งนี้เรื่องที่อภิปรายมาตนจะรับและสืบสวนสอบสวนทั้งหมด และจะหาทางแก้ไขถ้าเป็นเรื่องจริง แต่ก็พูดยากเพราะเท่าที่ฟังมาหลายเรื่องข้อมูลยังสับสน หลายเรื่องเป็นเรื่องเก่า หลายเรื่องเป็นเรื่องไม่จริง ซึ่งตนก็จะไปตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง
'ชยพล' แฉปฏิบัติการไอโอ สภาฯ เดือด ประท้วงระอุ!
ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาญัตติด่วนขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยนายชยพล สท้อนดี สส.กทม. พรรคประชาชนลุกขึ้นอภิปรายเกี่ยวกับปฏิบัติการไอโอของกองทัพว่า ปฏิบัติการดังกล่าวเกิดขึ้นยุครัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เติบโต เลวร้ายยิ่งกว่าเดิมในยุครัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ โดยก่อนการเลือกตั้ง 2566 ไม่นาน มีการจัดโครงสร้างปฏิบัติการไอโอขึ้นมาใหม่ ให้มีเอกภาพ ตั้งแต่ระดับนโยบาย ไล่ไปจนถึงระดับปฏิบัติการกระชับการบังคับบัญชาให้ทุกเหล่าทัพ รวมศูนย์ไปอยู่ภายใต้ศปก.ร่วม โดยมีไซเบอร์ทีมที่ตั้งขึ้นมาใหม่ คอยรับผิดชอบปฏิบัติการไอโอโดยเฉพาะ ขบวนการไอโอนี้ กลับสุขสบายดี แถมเติบโตจนน่ากลัวภายใต้นายกฯที่ชื่อว่า น.ส.แพทองธาร จากที่ตนติดตาม ไซเบอร์ทีมนี้ประชุมกันทุกวันพุทธหรือพฤหัส สถานที่ประชุมอยู่ใกล้กับรัฐสภา แถวสะพานเกษะโกมล ห่างจากสภาฯของเราเพียงแค่2กิโลนิดๆ
ทั้งนี้ นายชยพล ได้นำสไลด์มาเป็นข้อมูลประกอบการอภิปราย เกี่ยวกับผังโครงสร้างทีมไซเบอร์ของกองทัพ จากเอกสารความมั่นคงพิเศษ กองทัพบก ซึ่งคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง 2566 คอยบัญชาการไซเบอร์ทีมนี้ ก็คือพล.อ.ธรรมนูญ วิถี อดีตผู้ช่วยผบ.ทบ. เป็นรองผอ.ศปก.ร่วม
จนกระทั่ง นายชลพล ได้ยกตัวอย่างปฏิบัติการไอโอของกองทัพ ช่วงวันที่ 19-25ต.ค.2567 ยุค รัฐบาลน.ส.แพทองธาร ที่มีการโพสต์ข้อความ สร้างภาพลักษณ์เชิงบวก ของกองทัพ กับสถาบัน แต่มีการแอบแฝงเพื่อสร้างภาพจำว่ากองทัพ ผูกติดอยู่กับสถาบันจนแยกไม่ออก จนถูก สส.รัฐบาล ประท้วงอย่างหนัก จนนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่1 ที่สลับขึ้นมาทำหน้าที่ประธานการประชุม ต้องกล่าวตักเตือนที่พูดถึงสถาบันมาบ่อยครั้ง และระบุว่า ถ้ายังพูดถึงสถาบันอีกจะไม่ให้อภิปรายแล้ว
ทำให้เกิดการตอบโต้ไปมากับ สส.ปชน.ที่ยืนยันว่าพูดปกป้องสถาบัน นายชลพล จึงถามว่า หากไม่ให้ใช้คำว่าสถาบันจะให้ใช้คำว่าอะไร นายพิเชษฐ์ บอกหากใช้คำอื่นไม่เป็น ก็ไม่ต้องใช้ จากนั้นนายชยพล ได้เปลี่ยนหัวข้อไปพูดถึงปฏิบัติการไอโอของกองทัพที่มีเป้าหมายโจมตีนักการเมืองและคนที่อยู่ตรงข้ามกับกองทัพ อาทิ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข นายสมบัติบุญงามอนงค์ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ที่ตกเป็นเป้าหมายปฏิบัติการไอโอกองทัพ ทำให้นายพิเชษฐ์ ต้องเตือนนายชยพลอีกครั้งว่า พูดพาดพิงถึงบุคคลภายนอก ที่ไม่มีสิทธิเข้ามาชี้แจง ควรหยุดอภิปรายดีกว่าหรือไม่ แต่นายชยพลยืนยันว่า ได้มีการขออนุญาติเอ่ยชื่อ บุคคลเหล่านี้แล้ว
อย่างไรก็ตาม นายชยพลยังคงอภิปรายพูดถึงชื่อบุคคลภายนอก และลงลึกวิธีการทำงานของกองทัพอย่างต่อเนื่องทำให้ สส.รัฐบาล ลุกขึ้นประท้วงบ่อยครั้ง ในที่สุดนายพิเชษฐ์ วินิจฉัยให้นายชยพล หยุดพูด โดยให้เหตุผลว่าถ้า ให้อภิปรายต่อไป แล้วเกิดความเสียหาย สภาฯก็รับไม่ไหว ทำให้สส.พรรประชาชน ลุกขึ้นประท้วงหลายคน โดย น.ส.รักชนกศรีนอก สส.กทม. ลุกขึ้นใช้น้ำเสียงออดอ้อน ขอร้องให้นายชยพล ให้อภิปรายต่อ ในที่สุดนายพิเชษฐ์ อนุญาตให้พูดต่อไป โดยไม่ให้ฉายสไลด์
“ศิริกัญญา” จวกบริหารเศรษฐกิจพลาด จนทำให้คนคิดถึง “ลุงตู่”
เวลา 14.10 น. ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาชน อภิปรายตอนหนึ่งว่า วันนี้นายกฯแพทองธาร ชินวัตร ทำให้คนไทยทั้งประเทศตาสว่างว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยไม่ได้เก่งเรื่องเศรษฐกิจ ความสำเร็จในอดีตได้มาเพราะโชคช่วย ทั้งที่มีนายกฯแพ็กคู่ กว่า 7 เดือนแล้ว วันนี้ได้เห็นแล้วว่าไม่ได้เก่งจริง ไม่มีความรู้ความเข้าใจจนบริหารเศรษฐกิจเละคามือ ไม่เห็นเหมือนอย่างที่โฆษณา
โดยความผิดมหันต์แบบที่ให้อภัยไม่ได้ ของนายกฯแพทองธาร คือการบริหารผิดพลาดล้มเหลว ทำให้คนร้องหาลุงตู่ คิดถึงลุงตู่ ทั้งที่วิกฤติเศรษฐกิจในช่วงนั้นเลวร้าย แต่รัฐบาลนี้ทำแบบไหนถึงทำให้คนหวนกลับไปคิดถึงยุคนั้นได้ แบบนี้เรียกว่าเสียของคนที่ไปเลือกตั้งอยากได้รัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย จึงเป็นเรื่องที่ให้อภัยไม่ได้
“ความผิดมหันต์แบบที่ให้อภัยไม่ได้ ของนายกฯแพทองธาร คือการบริหารเศรษฐกิจผิดพลาดล้มเหลว ทำให้คนร้องหาลุงตู่ คิดถึงลุงตู่ ทั้งที่เศรษฐกิจในช่วงนั้นมันเลวร้ายขนาดไหน มันเลวร้ายที่สุดในรอบ 10 ปี ทั้งวิกฤติเศรษฐกิจจากการรัฐประหาร วิกฤติเศรษฐกิจจากโควิด แล้วทำอีกท่าไหนให้คนหวนกลับไปนึกถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาได้”
อย่างไรก็ตามพายุเศรษฐกิจกำลังจะมา สงครามการค้ากำลังก่อตัวขึ้นมาแล้ว เพราะเรากำลังต่อคิวอยู่ในลิสต์ประเทศที่จะต้องถูกเก็บภาษีนำเข้า เพราะเกินดุลกับสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับ 10 ของโลก ซึ่งสหรัฐกำลังจะประกาศขึ้นภาษีนำเข้าแต่ละประเทศในเดือน เม.ย.นี้ อีกไม่กี่วัน ความเสี่ยงของประเทศไทยน่าจะถูกขึ้นภาษีแน่นอน ไม่ต่ำกว่า 10% ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจะรุนแรงที่สุดในช่วงต้นปีหน้า และยังมีผลกระทบที่จะตามมาอีกหลายระรอก
"รักชนก" ซัดนายกฯ ขาดภาวะผู้นำ ปล่อยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดูดเงินคนไทยนับแสนล้าน
เมื่อเวลา 12.40 น. วันที่ 25 มี.ค. 68 นางสาว รักชนก ศรีนอก ส.ส. พรรคประชาชน ลุกขึ้นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยฝากไปยัง ท่านประธานสภา ขอให้นายกรัฐมนตรีเข้ามาฟังพรรคฝ่ายค้านอภิปรายด้วย ไม่ใช่มานั่งฟังเฉพาะช่วงที่รัฐมนตรีของตนเองตอบ
การอภิปรายของ นางสาวรักชนก ในวันนี้พุ่งเป้าไปที่การแก้ปัญหา อาชญากรรมออนไลน์ โดยระบุว่าเป็นเพียงภาพลวงตาในการแก้ปัญหา เป็นเพียง "ผัดซีโรยหน้า" ที่รัฐบาลต้องการแสดงให้เห็นว่าตนเองเอาจริงเอาจังในเรื่องนี้ ทั้งที่ในความเป็นจริง นายกรัฐมนตรี ยังมีพฤติกรรมที่ไม่น่าไว้วางใจให้บริหารราชการแผ่นดินได้อีกต่อไป เพราะ ขาดภาวะผู้นำ โยนงานกันไปมา จนส่งผลเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนมหาศาล
นอกจากนี้ นายกฯ ยังทำตัวลอยเหนือปัญหา ไม่สนใจความเดือดร้อนของประชาชน จนกระทั่งรัฐบาลต่างชาติกดดัน ถึงจะมีการดำเนินการแก้ไข ขณะที่การแก้ไขปัญหานี้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือในการกำจัด ทุนสีเทา ทั้งจากต่างประเทศและในประเทศ แต่นายกฯ กลับจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนและพวกพ้อง ปล่อยให้เกิดการทุจริตในราชการ มองดูการคอร์รัปชันที่เกิดขึ้นโดยไม่ดำเนินการใด ๆ จนถึงวันนี้ปัญหา แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ก็ยังไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไร
"ความเสียหายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในช่วง 3-4 ปี ตามข้อมูลจาก สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีมูลค่ารวมแล้วกว่า 80,000 ล้านบาท แต่ตัวเลขนี้ไม่ได้สะท้อนถึงความเสียหายที่แท้จริง เพราะเป็นเพียงข้อมูลจากผู้ที่เข้าแจ้งความเท่านั้น ยังมีเม็ดเงินอีกมหาศาลที่ไม่ถูกรวมอยู่ในตัวเลขนี้ ซึ่งอาจสูงถึง 100,000 ล้านบาทต่อปี"
นางสาวรักชนก ยังเปิดสไลด์ข้อมูลตัวเลขความเสียหายจากอาชญากรรมออนไลน์ทั่วโลกในปี 2023 ที่สูงถึง 2.24 ล้านล้านบาท โดยระบุว่ามี 3 ประเทศ ที่มีพรมแดนติดกับไทย ได้แก่ กัมพูชา ลาว และเมียนมา ถูกใช้เป็นฐานบัญชาการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มุ่งหลอกลวงคนไทย ดูดเงินจากกระเป๋าประชาชนไปจำนวนมาก อีกทั้งยังมีประชาชนที่ต้องเสียชีวิตจากการถูกหลอก
"ปัญหานี้เร่งด่วนและร้ายแรง ไม่มีใครหนีพ้น แม้แต่นายกรัฐมนตรีเองก็เคยถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้โอนเงิน แต่นายกฯ กลับเพิกเฉย ไม่ตรวจสอบต้นตอว่าข้อมูลส่วนตัวของนายกฯ รั่วไหลได้อย่างไร อย่าว่าแต่นายกฯ โดนเลย แล้ว ตาสีตาสา ที่ไม่เก่งเทคโนโลยีล่ะ เขาจะเป็นอย่างไร?"
"โรม" เปิดดีลลับชั้น 14 ขอเบิกตัว "อิ๊งค์" พยานสำคัญ
นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ วันที่ 2 โดยนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณาญัตติด่วนขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล (น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี)
นายรังสิมันต์ เปิดประเด็น กรณีชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจว่า การอภิปรายในครั้งนี้ ตนมีพยานหลักฐานสำคัญที่ยืนยันต่อประธานสภาฯว่าชั้น 14 มันลวงโลกอย่างไร โดยพยานหลักฐานของตนไม่ใช่ใครอื่น พยานชื่อว่า “แพทองธาร”จากประจักษ์พยาน ยังเป็นตัวสำคัญในการทำผิดกฎหมายบ้านเมือง ทำผิดกฎหมายอาญา เรื่องนี้เป็นมหากาพย์หลอกลวง ที่ทำให้นายกฯ เป็นผู้ที่ขาดคุณสมบัติเหมาะสม ในการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในท้ายที่สุด
ขณะที่ นายกฯ แพทองธาร โยนให้กระทรวงยุติธรรมชี้แจง
อภิปรายวันนี้ก่อนเที่ยงคืนต้องเสร็จ
การอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันนี้ 25 มี.ค. 2568 พรรคประชาชนจะเปิดด้วย น.ส.ภคมน หนุนอนันต์ รองโฆษกพรรค จากนั้นจะเป็นตัวตึง ได้แก่ นายรังสิมันต์ โรม รองหัวหน้าพรรค , น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กทม. , น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค , นายจิรัฏฐ์ ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา และจะปิดท้ายอภิปรายด้วยนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านฯ ซึ่งตามกรอบเวลาจะเสร็จสิ้นภายในเที่ยงคืน
ขณะเดียวกันยังถูกอภิปรายกล่าวหาเกี่ยวกับคนในครอบครัวที่เข้ามาชี้นำการบริหารราชการแผ่นดิน รวมถึงความโปร่งใสของตัวเอง ที่ถูกตั้งคำถามที่อาจเป็นพฤติกรรมหลบเลี่ยงภาษีการรับให้ 218 ล้านบาท ผ่านการใช้ตั๋ว PN หรือตั๋วสัญญาใช้เงิน
ทั้งนี้ สภาผู้แทนราษฎรจะมีการลงมติในวันที่ 26 มีนาคม 2568