เจอก้อนที่ "ตับอ่อน" อาจไม่ร้ายแรงอย่างที่คิด ตรวจพบเร็วรักษาได้
ก้อนเนื้องอกที่ตับอ่อนมีหลายชนิด ไม่ได้เป็นเนื้อร้ายเสมอไป รับการตรวจเร็ว สามารถรักษาได้อย่างทันท่วงที
เนื้องอกที่ตับอ่อนสามารถเกิดขึ้นได้และไม่ควรชะล่าใจ เพราะอาจตรวจเป็นมะเร็งตับอ่อนหรือโรคอื่นของตับอ่อนได้ ดังนั้นการตรวจเช็กสุขภาพตับอ่อนและปรึกษาแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติคือเรื่องสำคัญที่ไม่ควรละเลย
รู้ได้อย่างไรว่ามีก้อนเนื้อที่ตับอ่อน?
- การตรวจหาก้อนเนื้อที่ตับอ่อนเบื้องต้นสามารถทำได้โดยการตรวจอัลตราซาวนด์ แต่อาจเห็นตับอ่อนได้ไม่ชัดเจนเนื่องจากตับอ่อนอยู่ด้านหลังและถูกบังโดยกระเพาะอาหารหรือลำไส้ ดังนั้นอาจตรวจดูให้ชัดเจนขึ้นด้วยการตรวจ CT Scan หรือ MRI
"ตับอ่อน" ไม่ใช่โรคไกลตัวอย่างที่คิด สำรวจสาเหตุและอาการก่อนสายเกินแก้
ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง โรคที่เกิดจากพิษ "แอลกอฮอล์"
- ก้อนเนื้อที่ตับอ่อนอาจทำให้ผู้ป่วยเป็นดีซ่าน ตรวจร่างกายพบก้อนที่หน้าท้อง อิ่มเร็ว และน้ำหนักลด
- ก้อนเนื้อที่ตับอ่อนอาจถูกตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจสุขภาพด้วยการอัลตราซาวนด์หรือการตรวจโรคในช่องท้องอื่น ๆ
ชนิดของก้อนที่ตับอ่อน
ก้อนที่ตับอ่อนสามารถแบ่งได้เป็นลักษณะของก้อนเนื้อ (Solid) และถุงน้ำ (Cyst) โดยส่วนใหญ่มักได้คำวินิจฉัยเบื้องต้นจากการส่งตรวจอัลตราซาวนด์ (Ultrasonography) หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan)
- ก้อนเนื้อ (Solid) ถ้าพบลักษณะเป็นก้อนเนื้อ (Solid) อาจต้องวินิจฉัยแยกโรคจากกลุ่มที่เป็นภาวะเนื้อดี (Benign) ออกจากภาวะเนื้อร้ายหรือมะเร็ง (Cancer) โดยพบโรคต่าง ๆ ได้แก่ ภาวะที่พบก้อนจากตับอ่อนอักเสบ ก้อนที่เกิดกลุ่มเซลล์ชนิด Endocrine หรือ Pancreatic Neuroendocrine Tumor (PNET) โดยกลุ่ม PNET สามารถตรวจพบโรคต่าง ๆ ได้ตั้งแต่เนื้องอกชนิดดีจนถึงชนิดร้ายแรง ภาวะม้ามที่พบนอกตำแหน่ง (Accessory Spleen) และมะเร็งตับอ่อน (Pancreatic Cancer)
- ถุงน้ำ (Cyst) ถ้าพบลักษณะเป็นถุงน้ำ (Cyst) แนะนำให้ดูจากลักษณะของถุงน้ำที่ตรวจพบเพื่อช่วยในการวินิจฉัยแยกโรคในเบื้องต้น ส่วนใหญ่จะไม่ใช่เนื้อร้าย อย่างไรก็ตามอาจต้องมีการส่งตรวจเพิ่มเติม เช่น การทำอัลตราซาวนด์ผ่านทางเดินอาหาร (Endoscopic Ultrasound หรือ EUS) หรือการตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของช่องท้อง (Magnetic Resonance Imaging หรือ MRI/MRCP) เพื่อช่วยวินิจฉัยโรคถุงน้ำที่ตับอ่อนได้ชัดเจนเพิ่มขึ้น
ปวดในช่องท้อง สัญญาณเตือน 9 โรคอันตราย อย่านิ่งนอนใจจนโรคลุกลาม
ก้อนที่ตับและตับอ่อน เช็กปัจจัยเสี่ยง ตรวจพบก่อนรักษาได้
ขนาดของก้อนเนื้อมีความสำคัญหรือไม่?
- ขนาดของก้อนเนื้อหรือถุงน้ำของตับอ่อนอาจสัมพันธ์กับโอกาสของการวินิจฉัยเนื้อร้าย ถ้ามีขนาดใหญ่มักพบความเสี่ยงของการวินิจฉัยเป็นเนื้อร้ายสูงกว่าขนาดเล็ก อย่างไรก็ตามถุงน้ำบางชนิดที่มีขนาดใหญ่อาจไม่เป็นเนื้อร้ายได้
- แพทย์จะแนะนำการผ่าตัดรักษาในมะเร็งตับอ่อนที่จัดอยู่ในระยะที่ผ่าตัดรักษาได้หรือโรคที่มีโอกาสพัฒนาเป็นเนื้อร้ายในอนาคต
- ก้อนเนื้อที่มีความเสี่ยงของการเป็นเนื้อร้าย เช่น ก้อนเนื้อที่เกิดจากต่อมไร้ท่อของตับอ่อน แพทย์จะแนะนำให้ผ่าตัดหากมีขนาดใหญ่กว่า 2 เซนติเมตร แต่ถ้าเล็กกว่า 2 เซนติเมตรจะประเมินจากการเจาะตรวจเนื้อเยื่อและดูลักษณะการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เพื่อพิจารณาเลือกการรักษาที่เหมาะสม
- ในกลุ่มถุงน้ำของตับอ่อนหากวินิจฉัยเป็นเนื้อร้ายควรรักษาด้วยวิธีผ่าตัด แต่ถ้าเป็นถุงน้ำที่มีขนาดเล็กและไม่มีความเสี่ยงสูง สามารถรักษาได้ด้วยการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
"วิตามิน" ตัวช่วยเสริมแกร่งร่างกาย กินเยอะไปอาจทำอันตรายต่อ "ตับ"
อ่อนเพลีย เครียดง่าย เบื่ออาหาร อาจเพราะร่างกายขาดวิตามิน!
การวินิจฉัยก้อนเนื้อที่ตับอ่อนทำอย่างไร?
- การตรวจด้วยเครื่อง CT Scan และ MRI มีความชัดเจนและถูกต้องในการวินิจฉัยโรคที่ร้อยละ 85 – 90
- การวินิจฉัยเนื้อเยื่ออาจไม่จำเป็นในผู้ป่วยทุกราย แต่จะช่วยในผู้ป่วยที่วินิจฉัยไม่แน่ชัด หรือเพื่อยืนยันการวินิจฉัยถ้าอยู่ในระยะลุกลาม
- การวินิจฉัยถุงน้ำอาจต้องมีการตรวจเพิ่มเติมโดยการส่องกล้อง Endoscopic Ultrasound (EUS) และอาจมีการเจาะดูดน้ำจากถุงน้ำออกมาวิเคราะห์เพื่อให้วินิจฉัยได้อย่างชัดเจน
โอกาสของการเป็นมะเร็งเมื่อพบก้อนที่ตับอ่อน
การตรวจพบก้อนที่ตับอ่อนไม่ได้เป็นเนื้อร้ายหรือมะเร็งเสมอไป โดยทั่วไปผู้ป่วยมักกังวลว่าจะเป็นเนื้อร้าย เพราะฉะนั้นผู้ป่วยควรพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อให้ทราบถึงการวินิจฉัยโรคว่าเป็นเนื้อร้ายหรือไม่ รวมถึงแนวทางในการรักษาที่เหมาะสมต่อไป ซึ่งการวินิจฉัยโรคต่าง ๆ มีปัจจัยที่ช่วยในการวินิจฉัยโรคเบื้องต้น เช่น เพศ อายุ อาการต่าง ๆ รวมถึงลักษณะของก้อนหรือถุงน้ำที่ตรวจพบจากทางรังสีวิทยา
ล้วง "ตับ" รู้ลึกความสำคัญ แนะ 8 เคล็ดลับดูแลให้สุขภาพดี
ก้อนที่ตับและตับอ่อน เช็กปัจจัยเสี่ยง ตรวจพบก่อนรักษาได้
การรักษาก้อนที่ตับอ่อน
โดยทั่วไปการรักษาก้อนที่ตับอ่อนจะขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยและอาการของผู้ป่วย ได้แก่
- ถ้าเป็นก้อนที่ตับอ่อนชนิดดีและไม่มีอาการ อาจพิจารณารักษาโดยวิธีสังเกตอาการและไม่ต้องผ่าตัด โดยอาจนัดพบและตรวจทางรังสีวิทยาทุก 6 – 12 เดือนเพื่อดูอาการและการดำเนินโรค
- ถ้าเป็นก้อนที่ตับอ่อนชนิดดีแต่มีอาการแสดง ให้พิจารณาจากอาการที่ผิดปกติที่ตรวจพบ เช่น ถ้ามีภาวะตัวตาเหลือง (Jaundice) อาจพิจารณารักษาโดยการส่องกล้องและใส่ท่อระบายน้ำดี (Endoscopic Retrograde Cholangiopancreatography หรือ ERCP) และไม่ต้องผ่าตัดรักษา แต่ถ้าพบเป็นโรคที่มีโอกาสกลายเป็นเนื้อร้ายอาจพิจารณาผ่าตัดรักษา
- ถ้าเป็นถุงน้ำชนิดใหญ่ที่เกิดจากภาวะตับอ่อนอักเสบและมีอาการจากการกดเบียดอวัยวะข้างเคียง อาจพิจารณารักษาโดยวิธีส่องกล้องและทำทางระบายผ่านทางกระเพาะอาหารหรือผ่าตัดรักษาในกรณีที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ ได้
- ถ้าเป็นก้อนเนื้อหรือถุงน้ำที่มีโอกาสเป็นเนื้อร้ายหรือตรวจพบเป็นเนื้อร้าย แนะนำให้ผ่าตัดรักษา (Pancreatic Resection หรือ Pancreatectomy) ถ้ายังสามารถผ่าตัดได้เพื่อหวังผลหายขาด (Curative Management)
หากต้องผ่าตัดตับอ่อนควรเลือกเทคนิคการผ่าตัดแบบใด?
- ตำแหน่งของก้อนเนื้อเป็นตัวกำหนดการใช้เทคนิคในการผ่าตัด
- การผ่าตัดผ่านกล้องของตับอ่อนส่วนปลาย (laparoscopic distal pancreatectomy) อาจพิจารณาในผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพอยู่ที่บริเวณลำตัวหรือหางของตับอ่อน (pancreatic body and tail) และไม่มีข้อจำกัดใด ๆ มีข้อดีคือ ฟื้นตัวเร็ว ระยะเวลาการนอนโรงพยาบาลสั้นลง และมีอาการเจ็บปวดหลังผ่าตัดน้อยกว่า เมื่อเทียบกับการผ่าตัดแบบเปิด
- การผ่าตัดตับอ่อนบริเวณส่วนหัวของตับอ่อน (pancreatic head) อาจพิจารณาเลือกการผ่าตัดแบบเปิดเป็นหลักเนื่องจากมีกายวิภาคและเทคนิคการผ่าตัดที่ซับซ้อน โดยการรักษาด้วยวิธีการผ่าตัดผ่านกล้อง (laparoscopic pancreaticoduodenectomy) เป็นวิธีการรักษาที่ค่อนข้างใหม่และใช้เวลาในการผ่าตัดนาน แต่อาจพิจารณาวิธีนี้หากศัลยแพทย์มีความชำนาญ
"ตับ" ไม่ทำงานจะเกิดอะไรขึ้น เช็กสาเหตุทำร้ายอวัยวะก่อนสายเกินแก้
ปวดในช่องท้อง สัญญาณเตือน 9 โรคอันตราย อย่านิ่งนอนใจจนโรคลุกลาม
มะเร็งตับอ่อนป้องกันได้อย่างไร?
- รับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ รวมทั้งผักและผลไม้เพื่อช่วยลดความเสี่ยง
- ดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกายสม่ำเสมอและควบคุมน้ำหนัก
- งดสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่เหมาะสม
- หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดท้อง ดีซ่าน ท้องอืด อิ่มเร็ว หรือน้ำหนักลด ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อให้การวินิจฉัยและการวางแผนการรักษาที่เหมาะสม
ขอบคุณข้อมูลสุขภาพจาก โรงพยาบาลกรุงเทพ