ตอบหลายข้อสงสัย "โรคฝีดาษลิง" รู้รับมือแบบไม่ตื่นตระหนก
ตอบสารพัดข้อสงสัยโรคฝีดาษลิง ทั้งอาการ การแพร่เชื้อ การป้องกัน เพื่อเตรียมตัวรับมือได้อย่างเข้าใจไม่ตื่นกลัวจนมากเกินไป
โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) เป็นโรคที่หลายคนให้ความสนใจและกังวลว่าจะเกิดการระบาดเป็นวงกว้าง การมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องจึงเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อเราจะได้เตรียมรับมือแบบไม่ตื่นตระหนก
ถาม : โรคฝีดาษลิง มีถิ่นกำเนิดมาจากไหน?
ตอบ : โรคฝีดาษลิงนั้นเกิดขึ้นมานานแล้ว มีถิ่นฐานเดิมในแถบทวีปแอฟริกา ซึ่งมีการระบาดอยู่เป็นระยะๆ แต่ในตอนนี้ที่มีข่าวดังขึ้นมา เพราะมีการแพร่ระบาดไปในหลายประเทศนอกทวีปแอฟริกา
สหรัฐฯ กำลังพิจารณา “ฝีดาษลิง” อาจถูกจัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
WHO เผยข้อเท็จจริง "ฝีดาษวานร" เมื่อติดเชื้อแล้วใช้ยาอะไรรักษา
ถาม : โรคฝีดาษลิง ต่างกับ อีสุกอีใส อย่างไร?
ตอบ : โรคฝีดาษลิงและอีสุกอีใสนั้นมีลักษณะคล้ายกัน คือ มีอาการทางผิวหนังเป็นหลัก และเป็นโรคที่มาจากเชื้อไวรัสเหมือนกัน แต่ลักษณะที่แตกต่างกันคือ โรคฝีดาษลิงเป็นโรคติดต่อที่ติดต่อจาก “สัตว์สู่คน” แต่โรคอีสุกอีใส ติดต่อจาก “คนสู่คน”
ถาม - ตอบเรื่อง "โรคฝีดาษลิง" รู้ระวังไม่ตื่นตระหนก ฝีดาษ ฝีดาษลิง
ราชกิจจาฯประกาศให้ ‘ฝีดาษลิง’ เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง
ถาม : โรคฝีดาษลิง จะแพร่เชื้อในลักษณะใดได้บ้าง?
ตอบ : โรคฝีดาษลิงสามารถแพร่เชื้อได้ 2 วิธี คือ
- ทางสารคัดหลั่ง ในการหายใจ ไอ จาม ซึ่งจะคล้ายโควิด-19 แต่การติดเชื้อจากสารคัดหลั่งดังกล่าวจะไม่ติดง่ายเหมือนกับโควิด-19
- ทางผิวหนัง หากมีสะเก็ด ตุ่ม หนอง ที่ตกสะเก็ดแล้ว สามารถแพร่เชื้อผ่านตุ่มหนองหรือสะเก็ดได้หากมีการสัมผัส
ถาม : อาการเริ่มต้นของโรคนี้เป็นอย่างไร ใครที่ควรระวังเป็นพิเศษ?
ตอบ : อาการเริ่มต้นของฝีดาษลิงจะเหมือนอาการติดไวรัสทั่วๆ ไป คือจะมีไข้ต่ำถึงไข้สูง และมีอาการปวดเมื่อยตามตัว รวมถึงมีไอเล็กน้อย สำหรับอาการที่เด่นชัด คือ ต่อมน้ำเหลืองโตบริเวณใต้คาง ใต้คอ ซึ่งสามารถคลำได้ด้วยตัวเอง และต่อมาจึงมีตุ่มขึ้น ผลการรักษาโรคฝีดาษลิงยังไม่แน่นอน แต่ความรุนแรงมักไม่มาก เมื่อเป็นแล้วสามารถหายจากโรคเองได้
- กลุ่มคนที่ควรระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ กลุ่มที่สัมผัสใกล้ชิดบุคคลที่มีความเสี่ยง ทั้งที่ยังไม่มีอาการและคนที่มีอาการ กลุ่มคนที่สัมผัสกับสัตว์ หรือกลุ่มสัตว์ที่เป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค ประเภทสัตว์ฟันแทะ เช่น แพะ หนู กระรอก กระต่าย ส่วนที่โรคนี้ได้ชื่อว่า “Monkeypox” หรือ ฝีดาษลิง ก็เพราะว่า การค้นพบเชื้อนี้ครั้งแรกเป็นการพบในลิง แต่แหล่งเชื้อโรคจริงๆ มาจาก สัตว์ฟันแทะ
ถาม : โรคฝีดาษลิง มีวิธีป้องกันอย่างไรได้บ้าง?
ตอบ : วิธีป้องกันโรคฝีดาษลิง สามารถทำได้ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสโดยตรงกับเลือด สารคัดหลั่ง หรือตุ่มหนองของสัตว์ที่ติดเชื้อหรือสัตว์ป่า
- หลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกไม่เพียงพอ
- หมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่และน้ำ หรือเจลแอลกอฮอล์เมื่อสัมผัสกับสัตว์หรือคนที่ติดเชื้อ
- ไม่นำสัตว์ป่ามาเลี้ยงหรือนำเข้าสัตว์จากต่างประเทศโดยไม่มีการคัดกรองโรค
- กรณีมีการเดินทางกลับจากประเทศที่เป็นแหล่งโรค ต้องทำการคัดกรองและเฝ้าระวังอาการจนครบ 21 วัน หากมีอาการให้รีบไปพบแพทย์ทันที และทำการแยกกักตัวเพื่อมิให้มีการแพร่กระจายเชื้อ
ถาม : ปลูกฝีมาแล้วป้องกันฝีดาษลิงได้ จริงไหม?
ตอบ : ในอดีตเราปลูกฝีเพื่อป้องกันโรคฝีดาษ หรือ ไข้ทรพิษ ...แต่ตั้งแต่ปี 2523 ประเทศไทยไม่ได้ปลูกฝี เนื่องจากองค์การอนามัยโลกได้ประกาศว่า โรคฝีดาษหรือไข้ทรพิษ ได้สูญพันธุ์ไปแล้ว ทั้งนี้โรคฝีดาษ หรือ ไข้ทรพิษ เป็นคนละโรคกับฝีดาษลิง แต่การศึกษาที่แอฟริกา พบว่าการปลูกฝีป้องกันฝีดาษสามารถป้องกันการติดเชื้อฝีดาษลิงได้ถึง 85%
ขอบคุณข้อมูลสุขภาพจาก โรงพยาบาลพญาไท
สธ.ถกผู้เชี่ยวชาญ รับมือ "ฝีดาษลิง" หลังองค์การอนามัยโลก สั่งเฝ้าระวังพิเศษ