เช็ก 10 ข้อ ขี้หลงขี้ลืมแบบไหนเป็นสัญญาณเตือนโรคสมองเสื่อม
โรคสมองเสื่อมภัยเงียบที่เพาะในร่างกายได้ตั้งแต่อายุน้อย ซึ่งอาการขี้หลงขี้ลืมเล็กๆน้อยๆ อาจเป็นภาวะแรกที่บ่งชี้โรคได้ พร้อม 10 สัญญาณเตือนโรค หากพบเพียงข้อเดียวให้รีบพบแพทย์ทันที
โรคสมองเสื่อม พบว่าผู้ที่มีอายุตั้งแต่อายุ 65 ปีขึ้น ไป ซึ่งหากแบ่งเฉลี่ยออก จะพบผู้มีโอกาศและเสี่ยงเป็นสมองเสื่อม 5 คน ในจำนวน 100 คน ขณะที่คนที่มีอายุยืนถึง 80 ปีจะมีโอกาสพบถึง20เปอร์เซนต์ หรือ 1 ใน 5 คนเลยทีเดียว ขณะที่ไทยเองก็มีแนวโน้มที่สูงขึ้นทุกปี
โรคสมองเสื่อมที่พบบ่อยแบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
- โรคสมองเสื่อมจากเส้นเลือดในสมองผิดปกติ (vascular neurocognitive disorder)
“หมอธีระวัฒน์” เผยงีบกลางวันนานและบ่อยเสี่ยงสมองเสื่อม-อัลไซเมอร์
แพทย์เผยอัลไซเมอร์เพาะพิษนานถึง 15 ปี วิจัยชี้ออกกำลังกายลดเสี่ยง2เท่า
- โรคสมองเสื่อมที่เกิดจากความเสื่อมของสมองโดยตรง หรือ โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) เป็นภาวะหนึ่งของโรคสมองเสื่อม ที่พบมากถึง 60-80% ของผู้ป่วยทั้งหมดหมด เกิดจากเซลล์ในสมองตายหรือไม่ทำงาน ส่งผลให้สมองส่วนที่เหลือทำงานได้ไม่เต็มที่
นอกจาก 2 โรคที่กล่าวมาข้างต้นโรคสมองเสื่อมยังเกิดจากสาเหตุที่สามารถรักษาได้ เช่น โรคสมองเสื่อมที่เกิดจากไธรอยด์ฮอร์โมนทำงานผิดปกติ การดื่มแอลกอฮอล์ ภาวะโพรงสมองโต มีเลือดคั่งหรือเนื้องอกที่สมอง การติดเชื้อในสมอง เช่น โรคซิฟิลิส หรือ โรคเอดส์ รวมถึงการขาดวิตามินที่สำคัญต่อการทำงานของสมอง เช่น วิตามินบี 12 เป็นต้น
ภาวะสมองเสื่อมอาการและความรุนแรงของโรคใช้เวลาบ่งเพาะในร่างกายบางรายนานถึง15ปี แบ่งเป็น 3 ระยะ
- อาการระยะแรก ความขี้หลงขี้ลืม สัญญาณแรกมาแล้ว คือลืมเรื่องที่เพิ่งพูดไปหรือลืมเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้น ย้ำคิดย้ำทำ และถามคำถามเดิมๆ ซ้ำๆ ลังเล ไม่สามารถตัดสินใจเรื่องง่ายๆ ได้ รวมถึงมีความวิตกกังวลมากขึ้น ตื่นตกใจง่าย อาจมีอารมณ์เปลี่ยนแปลง
- อาการระยะปานกลาง ปัญหาความจำอาจแย่ลงจนไม่สามารถจำชื่อคนรู้จัก หรือไม่สามารถลำดับเครือญาติคนใกล้ชิดได้ว่าใครเป็นใคร อาการสับสน ลืมวันเวลา นอนไม่หลับ และที่พบบ่อยคือหลงทาง ไม่สามารถหาทางกลับบ้านเองได้ ความรุนแรงของอาการระยะปานกลางอาจส่งผลให้ผู้ป่วยมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงง่าย หรือเกิดภาวะซึมเศร้า
- อาการระยะสุดท้าย ผู้ป่วยมักจะเกิดภาพหลอน การเรียกร้องความสนใจ หรือก้าวร้าวขึ้น อาการทางกาย เช่น เคี้ยวอาหารและกลืนได้ลำบาก เคลื่อนไหวช้าลง หรือไม่สามารถเดินเองได้ ปัสสาวะหรืออุจจาระเล็ด เนื่องจากกลั้นไม่อยู่ และสูญเสียความสามารถในการใช้ชีวิตประจำวัน ต้องพึ่งพาผู้อื่นในเรื่องง่ายๆ เช่น ป้อนข้าว อาบน้ำ ฯลฯ
- มีการหลงลืมที่รบกวนชีวิตประจำวัน ต้องอาศัยสิ่งช่วยจำ เช่น สมุดจด หรือ บุคคลในครอบครัว คอยช่วยเหลือ
- เสียความสามารถในการวางแผนหรือแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน เช่น ไม่สามารถทำสิ่งต่างๆ เป็นขั้นตอนได้อย่างถูกต้อง เช่นลืมขั้นตอนจ่ายเงินเมื่อไปธนาคาร หรือขับรถ
- รู้สึกยากลำบากในการทำงานที่คุ้นเคย ไม่ว่าที่บ้าน ที่ทำงาน หรือเวลาพักร้อน เช่น ขับรถไปในสถานที่ที่ไปประจำ จำกฎกติกาของกีฬาที่เล่นประจำไม่ได้
- รู้สึกสับสนกับเวลาหรือสถานที่ในขณะหนึ่งๆ เช่น ไม่รู้วันที่ ฤดูกาล และเวลา ลืมสถานที่ที่ตัวเองอยู่หรือไม่รู้ว่าจะไปสถานที่นั้นๆอย่างไร
- รู้สึกลำบากที่จะเข้าใจในภาพที่เห็นและความสัมพันธ์ระหว่างภาพที่เห็นกับตัวเอง เช่น อ่านหนังสือเข้าใจลำบากขึ้น
- รู้สึกมีปัญหาในการค้นหาหรือใช้คำที่เหมาะสมในการพูดหรือเขียน เช่น มักจะหยุดระหว่างกำลังสนทนาและไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรต่อ หรืออาจพูดคำ ประโยคซ้ำๆ
- ลืมของไว้ในที่ที่ไม่ควรวางหรือเก็บไว้และไม่สามารถย้อนนึกกลับไปได้ว่าวางไว้ที่ใด เช่น เก็บรองเท้าไว้ในตู้เย็น
- ความสามารถในการตัดสินใจลดลงหรือสูญเสียไป เช่น ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรกับตนเอง ไม่ทำผม ไม่อาบน้ำ เมื่อจะไปงานสำคัญ
- มีการแยกตัวออกจากงานที่ทำหรือกิจกรรมที่ชื่นชอบ เช่น ปกติจะไปเล่นกีฬา พบปะเพื่อนทุกสัปดาห์ แต่วันหนึ่งกลับไม่ไปโดยไม่มีเหตุผลใดๆ
- รู้สึกว่าอารมณ์และบุคลิกภาพเปลี่ยนแปลงไป เช่น ดูสับสน วิตกกังวล หวาดกลัว
อาการขี้ลืมแบบไหนไม่ปกติเสี่ยงอัลไซเมอร์ เช็กสัญญาณโรคสมองเสื่อม
การชะลอการเกิดโรค จากการประชุมนานาชาติของสมาคมโรคอัลไซเมอร์ ประจำปี 2562 ที่ลอสแองเจลิส ระบุว่าการดำเนินชีวิตอย่างรักสุขภาพ จะส่งตรงและมีผลดีต่อสมองลดความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์และโรคสมองเสื่อมอื่นๆ ได้
- กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายและสมอง
- ไม่สูบบุหรี่ หรือ ดื่มแอลกอฮอล์
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- มีกิจกรรมการกระตุ้นความคิด
โดยมีสองงานวิจัยในการประชุมชี้ว่า ผู้ที่ใช้ชีวิตอย่างใส่ใจสุขภาพหรือเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตอย่างจริงจัง อาจช่วยลดความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์ได้ ขณะที่อีกรายงานหนึ่งชี้ว่า ผู้ที่มีกรรมพันธุ์โรคอัลไซเมอร์ จะมีความเสี่ยงสูง แต่หากดูแลสุขภาพอย่างดี สามารถลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอัลไซเมอร์ลงได้ถึง 32% เมื่อเทียบกับผู้ที่ใช้ชีวิตแบบไม่ใส่ใจสุขภาพขณะที่ผู้หญิงสูงวัยที่ใช้สมองอยู่เสมอ มีศักยภาพการทำงานสูง มีความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้นเพียง 21% ต่างจากผู้ที่ไม่ค่อยได้บริหารสมอง จะมีความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์เพิ่มขึ้นถึง 113%
การรักษา ต้องยอมรับว่า ปัจจุบันยังไม่มีการรักษาใดที่สามารถรักษาโรคอัลไซเมอร์ให้หายขาดได้ มีเพียงการรักษาให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและ สามารถช่วยเหลือตัวเอง ด้วยการใช้ยายับยั้งสารอะเซตีลโคลีนเอสเทอเรส (Acetylcholinesterase) เพื่อลดการทำลายสารความจำในสมอง แต่ผู้ป่วยยังต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อควบคุมอาการของโรคประจำตัวอื่นๆ รวมด้วย เช่น โรคหัวใจ,ความดันโลหิตสูง,เบาหวาน,และไขมันในเลือดสูง
ข้อมูลจาก : โรงพยาบาลสมิติเวช ,คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล