จุกเสียดท้อง-น้ำหนักลด อาการบอกโรค “มะเร็งตับ” เจอเร็วรอดมากกว่า
มะเร็งตับยังคงเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของมะเร็งทั้งหมด พบมากเป็นอันดับ 1 ในเพศชาย และพบมากเป็นอันดับ 3 ในเพศหญิง เมื่อเป็นแล้วมีโอกาสเสียชีวิตได้ถึง 87% รู้ทันสัญญาณเตือนเหล่านี้!
ตับเป็นอวัยวะภายในที่ใหญ่ที่สุดในร่างกายมนุษย์ ทำหน้าที่สะสมสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ซึ่งถูกดูดซึมจากลำไส้ และนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ตับประกอบด้วยเซลล์มากมาย ทั้งเซลล์ตับ (Hepatocyte) เซลล์ของเส้นเลือด และเซลล์ของท่อน้ำดี ซึ่งเซลล์ท่อน้ำดีนี้จะขยายต่อออกมานอกตับ เป็นท่อน้ำดีเพื่อระบายน้ำดีออกไปยังถุงน้ำดีและลำไส้เล็ก เซลล์ต่าง ๆ ที่อยู่ในตับเมื่อเกิดการกลายพันธุ์ก็จะกลายเป็นเซลล์ของเนื้องอกหรือเซลล์มะเร็งที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งจะเจริญเติบโตด้วยตัวมันเองในตับและกระจายไปยังอวัยวะต่างๆ
เช็กสัญญาณ“ไขมันพอกตับ”จุดเริ่มต้น ตับแข็ง – มะเร็งตับ คนผอมก็เสี่ยงได้!
ตัดวงจร “ภาวะท้องมาน”จากโรคด้วยการปรับพฤติกรรมเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง
มะเร็งตับ ที่พบได้บ่อยในไทยมีอยู่ 2 ชนิด
- มะเร็งตับชนิดเซลล์ท่อน้ำดีในตับ (Cholangiocarcinoma) เป็นมะเร็งที่เกิดจากเซลล์ที่บุท่อน้ำดีที่อยู่ในตับ สาเหตุมาจากโรคพยาธิใบไม้ในตับ พบได้บ่อยทางภาคอีสาน รวมถึงการรับประทานอาหารบางชนิดที่มีสารก่อมะเร็ง เช่น สารดินประสิว (Nitrosamine) ที่มีอยู่ในอาหารประเภทหมัก และอาหารจำพวกรมควัน เป็นต้น มะเร็งตับชนิดเซลล์ท่อน้ำดีนี้ การตรวจค้นหาระยะเริ่มแรกยังไม่มีวิธีการที่ดี และเมื่อเป็นแล้ววิธีการรักษาจะค่อนข้างยุ่งยาก และผลการรักษายังไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้นการป้องกันไม่ให้เกิดมะเร็งชนิดนี้ที่ดีที่สุด คือ งดการรับประทานปลาน้ำจืดดิบและอาหารที่มีสารดินประสิวปนเปื้อน
- มะเร็งตับชนิดเซลล์ตับ (Hepatocellular Carcinoma) มะเร็งตับชนิดนี้พบได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย สาเหตุของการเกิดมะเร็งชนิดเซลล์ตับคือ
- การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี
- สามารถติดต่อได้ทางเลือด
- จากแม่ไปสู่ลูกในครรภ์
- ทางเพศสัมพันธ์
เมื่อเชื้อไวรัสเข้าไปอยู่ในเซลล์ตับก็สามารถกลายเป็นตับอักเสบเรื้อรังหรือกลายเป็นพาหะติดต่อผู้อื่นได้โดยตัวเองไม่มีอาการ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้กลายเป็นมะเร็งตับได้ เช่น
- ผู้ป่วยตับแข็งที่มาจากการดื่มแอลกอฮอล์จัด
- ไขมันพอกตับเป็นเวลานาน ๆ
- รวมถึงสารพิษที่ปนเปื้อนอยู่ในถั่วลิสง
- พริกแห้ง
- กระเทียม
- ธัญพืชต่าง ๆ ซึ่งมาจากเชื้อราที่มีสารอะฟลาทอกซิน (Aflatoxin) โดยสารนี้จะเป็นตัวเสริมให้เป็นมะเร็งเซลล์ตับในผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีได้ง่ายขึ้น
ทั้งนี้ มะเร็งตับ ที่เกิดจากมะเร็งชนิดอื่น ๆ กระจายมายังตับได้ง่าย มะเร็งชนิดนี้จะพบในประเทศแถบตะวันตกมากกว่าประเทศในแถบเอเชีย
สัญญาณเตือน มะเร็งตับ ในระยะแรกมักไม่แสดงอาการ แต่เมื่อโรคมะเร็งโตมากขึ้น ผู้ป่วยอาจมีอาการ
- อ่อนเพลีย
- เบื่ออาหาร
- น้ำหนักลด
- ท้องอืด
- ปวดหรือเสียวชายโครงด้านขวา
- จุกเสียดแน่นท้อง
- อาจปวดร้าวไปยังไหล่ขวาหรือใต้สะบักด้านขวา
เมื่อมะเร็งทำลายหน้าที่ของตับมากขึ้นหรือเกิดการอุดตันของท่อน้ำดี ผู้ป่วยอาจจะมีอาการ
- ตัวเหลือง
- ตาเหลือง
- ปัสสาวะมีสีเหลืองเข้ม
- ท้องมาน
- ขาบวม
- ไข้ต่ำ ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ
อย่างไรก็ตามมะเร็งเป็นมากแล้วสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ ได้ เช่น กระดูก
กินดึก กินซ้ำ กินแต่อาหารสำเร็จรูป พฤติกรรมการกินเพิ่มอัตราเสี่ยงมะเร็ง
การรักษาโรคมะเร็งตับ
จำเป็นต้องมีการวางแผนการรักษาโดยทีมแพทย์ที่มีความชำนาญในการรักษามะเร็งตับ (Multidisciplinary Team) เพื่อหาวิธีการที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย มะเร็งตับมีหลายรูปแบบการรักษา เช่น
- การผ่าตัด แต่เนื่องจากมะเร็งตับมักจะพบในผู้ป่วยที่มีตับอักเสบเรื้อรังหรือมีตับแข็งอยู่ด้วย ฉะนั้นการผ่าตัดตับอาจจะทำได้ในผู้ป่วยประมาณ 20% ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งตับขนาดไม่ใหญ่ แต่มีตับแข็งมาก อาจจะต้องใช้วิธีการเปลี่ยนตับ ซึ่งวิธีการเปลี่ยนตับนั้นยังไม่แพร่หลายในประเทศไทย เนื่องจากยังมีผู้บริจาคตับไม่มาก
- ที่มะเร็งตับเป็นก้อนใหญ่ หรือมีหลายก้อนไม่สามารถจะผ่าตัดตับได้ อาจจะใช้วิธีการฉีดยาเคมีบำบัด เป็นการรักษาแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Treatment)
- ใช้ยาพุ่งเป้า (Targeted Therapy) หลายชนิดเป็นที่ยอมรับว่ารักษาได้ผลดีที่สุดสำหรับมะเร็งตับชนิดเซลล์ตับ โดยการใช้ยาต้านมะเร็งที่มีฤทธิ์เฉพาะเจาะจงที่เซลล์มะเร็งที่ตับ มีการวิจัยเพื่อนำไปสู่การรักษาที่ชัดเจนยิ่งขึ้น (Precision Medicine) โดยตรวจหายีนจำเพาะมะเร็งตับเพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพและสามารถใช้ยาภูมิคุ้มกันรักษา Immunotherapy มารักษามะเร็งตับได้ด้วย
เนื่องจากมะเร็งตับระยะเริ่มแรกไม่มีอาการ เมื่อมีอาการแล้วโอกาสการรักษาจึงมีน้อย การคัดกรองหรือเฝ้าระวังมะเร็งตับให้พบในระยะแรกเริ่มจึงเป็นวิธีที่มีโอกาสหายมากที่สุดแต่การป้องกันไม่ให้เป็นโรคตับเป็นวิธีที่ดีที่สุด
- หลีกเลี่ยงดื่มแอลกอฮอล์
- หลีกเลี่ยงการติดเชื้อพยาธิใบไม้ในตับ อาทิของดิบ
- หลีกเลี่ยงการบริโภคสารก่อมะเร็ง
- ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี
- หลีกเลี่ยงการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซีทางกระแสเลือดหรือเพศสัมพันธ์
- ควรได้รับการติดตามโดยทำอัลตราซาวน์และเจาะเลือดหาสารบ่งชี้มะเร็งตับ AFP ทุก 6 เดือน
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ
“แอลกอฮอล์ “สาเหตุหลักที่ทำให้ตับและตับอ่อนเกิดภาวะอักเสบ
‘ยาแก้ปวด’ กินเกินขนาด ไม่หายปวดหัวแถมตับพัง แนะปริมาณยาที่เหมาะสม