“แสบร้อนยอดอก” ไม่ใช่แค่กรดไกลย้อนแต่บอก “โรคนิ่วในถุงน้ำดี” ด้วย
อาการแสบร้อนที่ยอดอก อย่าเพิ่งวางใจว่าคุณเป็นแค่กรดไหลย้อนหรือโรคกระเพาะธรรมดา เพราะนี่..คืออีกหนึ่งอาการที่เกิดจาก “โรคนิ่วในถุงน้ำดี” โรคที่มักพบได้บ่อยในผู้มีภาวะอ้วน รักษาได้ด้วย “การผ่าตัด”
ถุงน้ำดี (Gallbladder) อวัยวะในช่องท้องที่ทำหน้าที่ในการเก็บสะสมน้ำดี เพื่อช่วยในการย่อยอาหาร โดยน้ำดีจะถูกสร้างจากตับแล้วถูกลำเลียงออกมาทางแขนงของท่อน้ำดีในเนื้อตับ เข้าสู่ท่อน้ำดีใหญ่ของตับ แล้ววกกลับขึ้นไปที่ท่อของถุงน้ำดี เข้าไปพักไว้ในถุงน้ำดีก่อน เพราะที่ลำไส้เล็กส่วนต้นมีหูรูดปิดอยู่ น้ำดีจึงยังไหลลงไปไม่ได้เมื่อกินอาหารที่ไขมันสูงเข้าไปสะสมนานวันเข้า
ที่จริงนิ่วในทางเดินปัสสาวะเกิดจากอะไร? แนะ 5 วิธีป้องกันโรคนิ่ว
เตือนภัยสายบุฟเฟต์ ปวดท้องไม่หาย อาจพบก้อนนิ่วในถุงน้ำดี
ระบบประสาทอัตโนมัติจะสั่งการให้หูรูดที่ลำไส้เล็กเปิดออก ถุงน้ำดีบีบตัวขับน้ำดีออกมา ผ่านท่อของถุงน้ำดี ลงมายังท่อน้ำดีรวม เข้าสู่ลำไส้เล็ก น้ำดีมีหน้าที่ตีไขมันให้แตกตัวเป็นหยดเล็กๆ จากนั้นจึงถูกน้ำย่อยจากตับอ่อนย่อยต่อให้เป็นกรดไขมัน และกลีเซอรอล
“ก้อนนิ่ว” จะเกิดขึ้นเมื่อส่วนประกอบของน้ำดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งคอเลสเตอรอลและบิลิรูบิน (สารให้สีในน้ำดี) ตกตะกอนผลึกเป็นก้อนคล้ายกับน้ำตาลที่ตกตะกอนอยู่ด้านล่างของขวดน้ำเชื่อม ซึ่งสามารถรักษาได้โดยการผ่าตัด และด้วยวิวัฒนาการในปัจจุบัน จึงมีวิธีการรักษาแนวใหม่ คือ การผ่าตัดในถุงน้ำดีผ่านช่องคลอด
ชนิดของนิ่วในถุงน้ำดี..แบ่งออกเป็น 2 ชนิด
- ชนิดที่เกิดจากคอเลสเตอรอล (cholesterol stones) ที่พบได้บ่อยประมาณ 80% ของนิ่วในถุงน้ำดีทั้งหมด
- ชนิดที่เกิดจากเม็ดสีหรือบิลิรูบิน (pigment stones) ก้อนนิ่วชนิดนี้มีขนาดเล็กกว่าและมีสีคล้ำกว่าชนิดที่เกิดจากคอเลสเตอรอล มักพบในผู้ป่วยโรคตับแข็งหรือผู้ป่วยที่มีความผิดปกติของเลือด เช่น โรคโลหิตจางธาลัสซีเมีย โรคโลหิตจางจากการขาดเอนไซม์ G6PD
ปัจจัยเพิ่มความเสี่ยงการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี
- พันธุกรรม
- ภาวะอ้วน เป็นปัจจัยเสี่ยงที่มีผลมาก เนื่องจากความอ้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้ปริมาณคอเลสเตอรอลในน้ำดีเพิ่มขึ้น
- ฮอร์โมนเอสโตรเจนและการตั้งครรภ์
- เพศและอายุ โรคนิ่วในถุงน้ำดีพบมากในเพศหญิงและผู้สูงอายุ
- โรคเบาหวาน เนื่องจากผู้ป่วยโรคเบาหวานมีแนวโน้มที่จะมีระดับของไตรกลีเซอไรด์ในเลือดเพิ่มสูงขึ้น และถุงน้ำดีจะมีการบีบตัวน้อยในผู้ที่มีน้ำตาลในเลือดสูง จึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้
- การลดน้ำหนักตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ตับหลั่งคอเลสเตอรอลออกมามากขึ้น รวมถึงถุงน้ำดีจะบีบตัวลดน้อยลง น้ำดีจึงค้างอยู่ในถุงน้ำดีนานขึ้น โอกาสเกิดการตกตะกอนก็มากขึ้น
- อาหาร โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันสูงและเส้นใยต่ำ จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีได้
สัญญาณเสี่ยงนิ่วในถุงน้ำดี
- ปวดท้องอย่างรุนแรงโดยเฉพาะบริเวณช่วงท้องส่วนบนหรือด้านขวา โดยมีระยะเวลาปวดตั้งแต่ 15 นาทีถึงหลายชั่วโมง และอาจมีอาการปวดร้าวไปยังบริเวณกระดูกสะบักหรือบริเวณไหล่ด้านขวา
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย แสบร้อนที่ยอดอก มีลมในกระเพาะอาหาร โดยเฉพาะเสียดแน่นท้องบริเวณลิ้นปี่หลังรับประทานอาหารมัน
- หากมีอาการของถุงน้ำดีอักเสบเฉียบพลัน จะทำให้มีไข้ ปวดท้องใต้ชายโครงขวา และอาจมีอาการตัวเหลืองตาเหลือง ปัสสาวะมีสีเข้มได้
3 สัญญาณอันตรายโรคนิ่ว ปล่อยทิ้งไว้อาจร้ายแรงถึงขั้นไตวายได้
แนวทางการรักษานิ่วในถุงน้ำดี(แล้วแต่กรณี)
- การผ่าตัดถุงน้ำดี
- การผ่าตัดถุงน้ำดีแบบเปิดหน้าท้อง
- การผ่าตัดถุงน้ำดีโดยการส่องกล้อง (laparoscopic cholecystectomy)
- การส่องกล้องตรวจรักษาท่อทางเดินน้ำดีและตับอ่อน (endoscopic retrograde cholangiopancreatography: ERCP) ในกรณีที่มีนิ่วในท่อน้ำดีร่วมด้วย
- การผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีผ่านช่องคลอด (Trans Vagina Cholecystectomy)
เนื่องจากถุงน้ำดีเป็นเพียงตัวเก็บพักน้ำดี ในกรณีที่ผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออก น้ำดียังคงถูกสร้างจากตับและไหลลงมาตามท่อน้ำดีเข้าสู่ลำไส้เล็กเพื่อย่อยไขมันตามปกติ เพียงแต่อาจไม่เข้มข้นเท่าเดิม ทั้งนี้พบว่า 10% ของคนที่ไม่มีถุงน้ำดีอาจมีอาการท้องเสียจากน้ำดีไหลออกมามากเกินไปได้ สำหรับการผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีผ่านช่องคลอด (Trans Vagina Cholecystectomy) ควรทำโดยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญ ไม่เช่นนั้นอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ตัดโดนท่อน้ำดี ท่อน้ำดีรั่ว หรือท่อน้ำดีตันได้
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลพญาไท
แค่ไม่กินอาหารเช้าเสี่ยงสารพัดโรค เสี่ยงอัมพฤกษ์-อัมพาตและโรคนิ่ว
“โรคกระเพาะ” และ “กรดไหลย้อน” แม้ไม่ใช่โรคเดียวกันแต่ก่อมะเร็งได้เหมือนกัน