สัญญาณไข้เลือดออก ชนิดรุนแรง เสี่ยงอันตรายได้ถึงชีวิต
ในปี 2566 ที่ผ่านมา ไทย มีผู้ป่วยสะสม 123,081 ราย เสียชีวิต 139 ราย ซึ่งผู้ป่วยในปีนี้พบว่าสูงกว่าปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกัน 3.4 เท่า ซึ่งบางรายอาจมีอาการรุนแรงถึงอันตรายถึงชีวิต เช็กความเสี่ยงด้วยตนเอง
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข รายงานว่าในปี 2566 ซึ่งเป็นปีที่พบการระบาดของโรคไข้เลือดออกครั้งใหญ่ทั่วโลก ประเทศไทยมีผู้ป่วยถึง 24,090 ราย มากกว่าปีที่แล้วถึง 4.2 เท่า เป็นการระบาดสูงสุดในรอบ 3 ปี และมีผู้เสียชีวิต 15 ราย เฉลี่ยมีผู้ป่วยสัปดาห์ละ 900 ราย เสียชีวิตสัปดาห์ละ 1 ราย พบอัตราป่วยสูงสุด คือ กรุงเทพฯ ภาคใต้ และภาคกลาง โดยนักเรียนอายุ 5 - 14 ปี ป่วยสูงสุด รองลงมา คือกลุ่มอายุ 15-24 ปี
“ไข้เลือดออก”อาการเบื้องต้นแตกต่างจากโควิด-19 อย่างไร?
“ไข้เลือดออก” ทำไมควรเลี่ยงอาหารสีแดง สีดำหรือสีน้ำตาล แล้วกินอะไรได้?

เชื้อไวรัสเดงกีมีระยะฟักตัวในยุงประมาณ 8 -12 วัน เมื่อยุงตัวนี้ไปกัดคนอื่นอีกก็จะปล่อยเชื้อไวรัสไปยังผู้ที่ถูกกัด เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายคนและผ่านระยะฟักตัวนาน 5-8 วัน หรือสั้นที่สุด 3 วัน ยาวนานที่สุด 15 วัน ก็จะทำให้เกิดอาการของโรคได้ อย่างไรก็ตามด้วยสภาพอากาศค่อนข้างร้อนชื้น อย่างประเทศไทย จะยิ่งเอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อไวรัสเดงกี บวกกับมีฝนตก ทำให้ลูกน้ำยุงลายมีปริมาณมาก และเจริญเติบโตได้ดี โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เมื่อมีฝนตกมากคนอยู่รวมกันหนาแน่น โอกาสที่จะแพร่ระบาดก็เพิ่มมากขึ้น
กลุ่มอายุที่เป็นไข้เลือดออกมากที่สุดคืออายุ 10-14 ปี รองลงมาคือ 5-9 ปี, 15-24 ปี และ 25-34 ปี ตามลำดับ เรียกได้ว่าโรคไข้เลือดออกเป็นโรคที่มีความรุนแรงสูง ถ้าหากมีผู้ป่วย 1,000 ราย จะเสียชีวิต 1 ราย จาก 2 สาเหตุ คือ ภาวะเลือดออกมาก และเลือดรั่วจากเส้นเลือดจนเกิดภาวะช็อก และเสียชีวิต
เช็กอาการไข้หวัดใหญ่ด้วยตัวเอง
- อาการไข้สูงลอย (38.0-40 องศาเซลเซียส) ติดต่อกัน 2-7 วัน
- หน้าแดง ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก ปวดเบ้าตา ปวดท้อง
- อาเจียน เบื่ออาหาร
- มีจุดแดงเล็กๆ ตามแขน ขา ลำตัว และรักแร้
- อาจมีเลือดกำเดาไหล และเลือดออกตามไรฟัน
- โรคไข้เลือดออก ผู้ป่วยจะมีอาการทั่วไปคล้ายเป็นหวัด แต่มักไม่ไอ และไม่มีน้ำมูก
แพทย์เตือนไข้เลือดออกหน้าฝน-สถานการณ์ยังติดเชื้อสูงตายเพิ่ม 23 คน
อาการของโรคไข้เลือดออก
- มีไข้สูงเฉียบพลัน เกิน 38.5 องศาเซลเซียส หรืออาจสูงถึง 40-41 องศาเซลเซียส ซึ่งบางรายอาจมีชักเกิดขึ้น โดยเฉพาะในเด็กที่เคยมีประวัติชัก
- มีเลือดออกที่ผิวหนัง เป็นจุดเลือดเล็กๆ กระจายอยู่ตามแขน ขา ลำตัว รักแร้ อาจมีเลือดกำเดาหรือเลือดออกตามไรฟัน
- ในรายที่รุนแรงอาจมีอาเจียนและถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ซึ่งมักจะเป็นสีดำ (melena) อาการเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนใหญ่จะพบร่วมกับภาวะช็อก
- สิ่งที่ต้องระวังมากที่สุดคือ อาการช็อก ที่ทำให้ระบบการไหลเวียนเลือดล้มเหลว
- บางรายมีภาวะอาการตับโต กดเจ็บ ส่วนใหญ่จะคลำพบ ตับโตได้ประมาณวันที่ 3-4 นับตั้งแต่เริ่มป่วย ตับจะนุ่ม และกดเจ็บ
- มีภาวการณ์ไหลเวียนล้มเหลว ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ป่วยไข้เลือดออกจะมีอาการรุนแรง โดยเกิดภาวะการไหลเวียนโลหิตล้มเหลว หรือภาวะช็อก เนื่องจากมีการรั่วของพลาสมาออกไปยังช่องปอด ช่องท้อง เกิด hypovolemic shock ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นพร้อมๆ มีไข้ลดลงอย่างรวดเร็ว เวลาที่เกิดอาการช็อกจึงขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่มีไข้ อาจเกิดได้ตั้งแต่วันที่ 3 ของโรค หรือเกิดวันที่ 8 ของโรค ผู้ป่วยจะมีอาการเลวลง เริ่มมีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ชีพจรเบา เร็ว และความดันโลหิตเปลี่ยนแปลง
ไข้เลือดออกหากเป็นครั้งแรกจะไม่ค่อยรุนแรงมาก แต่หากเป็นครั้งที่ 2 จะเกิดความรุนแรงมากขึ้น ทำให้เลือดออก และช็อกได้จึงต้องระวังและป้องกันยุงลาย
แพทย์เตือนไข้เลือดออกหน้าฝน-สถานการณ์ยังติดเชื้อสูงตายเพิ่ม 23 คน
สธ.คาดพบผู้ป่วยไข้เลือดออกเพิ่มต่อเนื่อง แนะจำกัดลูกน้ำยุงลายรอบที่พักอาศัย