อาหารไม่ย่อย เรอเปรี้ยว เกิดจากอะไร เผยวิธีแก้และป้องกันลดเสี่ยงโรค!
อาหารไม่ย่อย กลายเป็นเรื่องปกติของใครหลายคน แต่หากปล่อยทิ้งเอาไว้เรื้อรังอาจเพิ่มเสี่ยงโรคบางชนิด อันตรายเพิ่มโดยเฉพาะผู้สูงอายุ เผยอาการวิธีแก้และป้องกัน
“อาหารไม่ย่อย” เป็นอาการที่เกิดขึ้นระหว่างทานอาหารหรือหลังทานอาหารที่เกิดขึ้นได้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย โดยส่วนมากจะพบได้บ่อยในผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุ โดยสาเหตุอาจเกิดจากการ กินเร็วเกินไป การเคี้ยวไม่ละเอียด เคี้ยวไม่กี่ครั้งก็กลืนทันที รีบ ๆ กินให้เสร็จ ทำให้ได้รับอาหารปริมาณมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ และอาหารยังมีขนาดใหญ่เกินไป ไม่เหมาะสมต่อการย่อย
“ติ่งเนื้อ” พัฒนามะเร็งลำไส้ได้ เผยระยะมะเร็งอาจเสียชีวิตได้ใน 1-2 ปี
พฤติกรรมเสี่ยงมะเร็งลำไส้ ทำไมคนยุคใหม่ถึงเสี่ยงมากกว่า?

ต้องใช้เวลาย่อยนานขึ้น เกิดอาการแน่นท้อง ท้องอืดหรือจุกเสียดตามมา และยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคอ้วน เบาหวาน หรือโรคกรดไหลย้อน เป็นต้น
อาการอาหารไม่ย่อย
- รู้สึกไม่สบายท้องตรงบริเวณยอดอกหรือใต้ลิ้นปี่
- มีอาการปวดท้องช่วงบน
- จุกเสียด แน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ มีลมในท้อง เรอบ่อย แสบท้อง เรอเปรี้ยว
- คลื่นไส้ อาเจียน รู้สึกอึดอัด ไม่สบายตัว
- มีอาการแสบร้อนกลางทรวงอกหลังทานอาหาร
โดยอาการดังกล่าวจะดีขึ้นและสามารถหายได้เองเมื่อเวลาผ่านไป บางคนอาจเป็นๆ หายๆ เรื้อรัง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นสัญญาณของโรคและการเจ็บป่วยในระบบย่อยอาหารได้ด้วย
สาเหตุอาหารไม่ย่อย
- พฤติกรรมการกินอาหาร เช่น กินอาหารไม่ตรงเวลา กินเร็ว กินมากไป ฯลฯ
- ผักดิบ ผักสดที่ไม่ผ่านความร้อน
- ถั่ว ธัญพืชชนิดต่าง ๆ นมถั่วเหลือง
- อาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลแลคโตสเป็นส่วนประกอบ เช่น นมและผลิตภัณฑ์จากนมผลไม้บางชนิดและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลฟลุคโตส
- ขนมและเครื่องดื่มที่มีสารให้ความหวานแทนน้ำตาล
- พฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น สูบบุหรี่ เครียด หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน แอลกอฮอล์ หรือน้ำอัดลมมากเกินไป
“ท้องเสีย” ระดับที่ต้องระวังอาจเป็นสัญญาณบอกโรคบางอย่างได้!
ป้องกันอาหารไม่ย่อย
การป้องกันอาการไม่ย่อยนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากเป็นผู้สูงอายุด้วยแล้วอาจต้องระวังเป็นพิเศษ เราสามารถปรับพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตได้ง่ายๆ ด้วยเทคนิคเหล่านี้!
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง มีรสเผ็ด หรืออาหารสำเร็จรูป
- ในแต่ละมื้อควรทานอาหารให้ตรงเวลาเสมอ
- ไม่ทานอาหารในปริมาณที่มากเกินไป หากรู้สึกว่าหิวบ่อยควรแบ่งอาหารเป็นมื้อเล็กๆ หลายมื้อ แทนการกินอาหารมากๆ ในมื้อเดียว
- เคี้ยวอาหารให้ละเอียด ไม่รับประทานอาหารอย่างเร่งรีบจนเกินไป
- หากิจกรรมทำให้ไม่ให้เครียด หรือนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- งดทานอาหารอย่างน้อย 3 ชั่วโมงก่อนเข้านอน
- ควรสังเกตชนิดของอาหารที่กินและหลีกเลี่ยงชนิดอาหารที่ทำให้เกิดอาการ
หากอาการไม่ดีขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อให้ได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาที่เหมาะสม
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลเปาโลโชคชัย4 และ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
ตำแหน่งปวดท้อง บอกโรคเบื้องต้นได้ เผย อาการแบบไหนควรรีบพบแพทย์
“มะเร็งลำไส้ใหญ่” สัญญาณคล้ายโรคทั่วไป แต่ห้ามละเลยเสี่ยงลุกลามรุนแรง