“ท้องเสีย” ระดับที่ต้องระวังอาจเป็นสัญญาณบอกโรคบางอย่างได้!
ท้องเสียหรืออุจจาระร่วง อาจเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับบางคน แต่หากละเลยและเป็นหนักขึ้น อาจเป็นสัญญาณบอกโรค เผยอันตรายที่ต้องสังเกตตามระดับความรุนแรง
ท้องเสียหรืออุจจาระร่วง (Diarrhea) คือ ภาวะที่ร่างกายมีการถ่ายเหลวเป็นน้ำ ถ่ายเหลวเป็นน้ำปนเนื้อ มากกว่าวันละ 3 ครั้ง ภายใน 24 ชั่วโมง หรือถ่ายมีเลือดปน ถ่ายมีมูกเลือดมากกว่า 1 ครั้งภายใน 24 ชั่วโมง
ท้องเสียแบ่งออกเป็น 3 ประเภท
-
ท้องเสียเฉียบพลัน (Acute Diarrhea) พบมากที่สุด มีอาการอยู่ที่ประมาณ 1 – 3 วัน ก่อนจะดีขึ้นและหายเอง
-
ท้องเสียต่อเนื่อง (Persistent Diarrhea) จะมีอาการอยู่ที่ประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ ควรสังเกตอาการและปรึกษาแพทย์ทันที
ตำแหน่งปวดท้อง บอกโรคเบื้องต้นได้ เผย อาการแบบไหนควรรีบพบแพทย์
พฤติกรรมเสี่ยงมะเร็งลำไส้ ทำไมคนยุคใหม่ถึงเสี่ยงมากกว่า?

- ท้องเสียเรื้อรัง (Chronic Diarrhea) จะมีอาการต่อเนื่อง 4 สัปดาห์ขึ้นไป อาจจะเป็น ๆ หาย ๆ ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด
สาเหตุท้องเสียเกิดจากอะไร
การติดเชื้อและไม่ติดเชื้อ โดยในกลุ่มที่ท้องเสียเฉียบพลันมักเกิดจากการติดเชื้อ อาทิ ไวรัส แบคทีเรีย กลุ่มพยาธิ ซึ่งจะติดเชื้อชนิดไหนขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ปัจจัยทางระบาดวิทยาแต่ละพื้นที่ โรคระบาดใด ๆ ในช่วงเวลาหรือพื้นที่นั้น ๆ หรือปัจจัยในแง่ร่างกายของแต่ละคน เช่น โรคประจำตัว การรับประทานยาบางชนิดที่ส่งผลต่อภูมิคุ้มกัน เป็นต้น และกลุ่มที่ไม่ติดเชื้อ ซึ่งเกิดได้หลายสาเหตุ อาจแบ่งย่อยเป็นชนิดที่ท้องเสียโดยไม่มีความผิดปกติของลำไส้ (Functional Diarrhea) และชนิดที่แพทย์พบความผิดปกติของลำไส้ เช่น มีการอักเสบเรื้อรัง หรือพบก้อนเนื้อ เป็นต้น แนะนำให้พบแพทย์เพื่อเช็กอาการก่อนสายเกินไป
ระดับการท้องเสียจากเบาไปหาหนัก
- ท้องเสียระดับเบา
น้ำหนักลดไม่ถึง 5% มีการขาดน้ำเล็กน้อย ยังรับประทานอาหารได้ปกติ โดยส่วนใหญ่มักเกิดจากการติดเชื้อที่ไม่รุนแรงหรืออาหารเป็นพิษ อาการมักไม่เกิน 2 – 3 วัน สามารถรักษาเองเบื้องต้นเองได้ โดยการรับประทานเกลือแร่สำหรับคนท้องเสีย (Oral Rehydration Salt – ORS) และกลุ่มยารักษาเพื่อลดอาการ เช่น ยาลดอาการปวดท้อง ยาลดอาการคลื่นไส้อาเจียน เป็นต้น เมื่ออาการดีขึ้นสามารถหยุดยาได้ แต่ในกรณีที่ท้องเสียแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือเป็นนานมากกว่า 3 – 5 วัน แนะนำให้พบแพทย์เพื่อทำการค้นหาสาเหตุเพิ่มเติม
- ท้องเสียระดับกลาง
น้ำหนักลด 6 – 9% มีการขาดน้ำระดับกลาง ผู้ป่วยเริ่มรับประทานได้ไม่ค่อยได้ อาจมีอาการเวียนหัว ริมฝีปากแห้ง ใจหวิว ๆ ปัสสาวะเริ่มลดลงแต่ยังมีอยู่ เมื่อตรวจสัญญาณชีพอาจพบหัวใจเต้นเร็วขึ้น มากกว่า 100 ครั้ง/นาที แต่ความดันยังปกติ เบื้องต้นแนะนำให้รับประทานเกลือแร่สำหรับคนท้องเสีย (Oral Rehydration Salt – ORS) ทันที เพื่อป้องกันการเสียน้ำรุนแรงเพิ่มขึ้น แล้วมาพบแพทย์เพื่อประเมินอาการและเข้ารับการรักษาต่อไป
- ท้องเสียระดับรุนแรง
น้ำหนักลดมากกว่า 10% ขึ้นไป ผู้ป่วยอาจเป็นลมหมดสติ ใจสั่น เวียนหัวรุนแรง ไม่ปัสสาวะเลยหรือปัสสาวะน้อยมาก เมื่อตรวจร่างกายอาจพบสัญญาณชีพผิดปกติ เช่น หัวใจเต้นเร็วมากกว่า 120 ครั้ง/นาที หรือความดันตก น้อยกว่า 90/60 มม.ปรอท หายใจเร็ว หากอาการรุนแรงมากจนความดันตกจำเป็นจะต้องเข้ารับการรักษาฉุกเฉินเพื่อให้สารน้ำอย่างรวดเร็ว แนะนำว่าอย่ารอจนอาการท้องเสียรุนแรง เมื่อเริ่มมีอาการมากขึ้นในระดับกลางควรมาพบแพทย์ทันที
ชาย 87 ปี ใช้สิทธิบัตรทอง ผ่าก้อนไขมันยักษ์ต้นคอ หลังทนมา 10 ปี!
ท้องเสียเป็นสัญญาณของโรค
- ลำไส้แปรปรวน ไม่ใช่โรคร้ายแรง “แต่เรื้อรัง” อาการที่พบบ่อย คือ อาการปวดบิดท้องเวลาถ่ายอุจจาระ เมื่อถ่ายอุจจาระเสร็จแล้วอาการจะดีขึ้นชัดเจน แต่จะมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อร่วมด้วย
- มะเร็งลำไส้ ผู้ป่วยอาจมาด้วยหลากหลายอาการ เช่น ท้องเสียเรื้อรังมากกว่า 4 สัปดาห์ขึ้นไป อาจมีมูกเลือดปน ท้องผูกสลับท้องเสีย อาการอาจเป็น ๆ หาย ๆ มีน้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว เบื่ออาหารมากผิดปกติ บางคนมีไข้ต่ำ ๆ ต่อเนื่องตลอดเวลา
- ไทรอยด์สูง ในผู้ป่วยไทรอยด์สูงมักมีอาการท้องเสีย ถ่ายเป็นน้ำ ถ่ายเหลวเรื้อรัง เป็น ๆ หาย ๆ ได้ เนื่องจากตัวฮอร์โมนไทรอยด์สามารถกระตุ้นให้ลำไส้ทำงานมากผิดปกติ มักพบร่วมกับอาการอื่น ๆ ของภาวะไทรอยด์สูง เช่น ใจสั่น น้ำหนักลดมากผิดปกติ ขี้ร้อน หรือประจำเดือนมาไม่ปกติในผู้หญิง เป็นต้น
- ยาฆ่าเชื้อบางชนิด มีผลทำให้เกิดอาการท้องเสีย โดยเกิดจากผลข้างเคียงของยาเอง หรือเกิดจากการที่ยาเข้าไปฆ่าเชื้อแบคทีเรียดีในลำไส้ทิ้งไปและเชื้อที่ไม่ดีเจริญเติบโตมากเกินไป หากเคยใช้ยาฆ่าเชื้อแล้วมีอาการท้องเสียเรื้อรังไม่หายควรพบแพทย์เพื่อตรวจเช็กอย่างละเอียด
ท้องเสียจำเป็นต้องมาพบแพทย์หรือไม่
หากท้องเสียอาการไม่รุนแรง ไม่ได้เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง หรือมีอาการอื่น ๆ ประกอบที่สงสัยว่าเป็นกลุ่มโรคร้ายแรง สามารถรักษาตามอาการเบื้องต้นก่อนได้ แต่หากมีอาการขาดน้ำมาก ระดับกลางขึ้นไป หรือไม่ดีขึ้นภายใน 3 – 5 วัน หรือ มีอาการอื่น ๆ เช่น ไข้สูง หนาวสั่น ถ่ายมีมูกหรือเลือดปน แนะนำให้มาพบแพทย์ทันที
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลกรุงเทพ
4 ความเสี่ยงออกกำลังกายหนักเกินไป สุขภาพพังแทน หากไม่ใส่ใจสมดุล
เดินวันละ 1 หมื่นก้าว ช่วยฟื้นสุขภาพ โรคประจำตัวดีขึ้นจริงหรือไม่?