อัลไซเมอร์ สัญญาณและปัจจัยเสี่ยงที่ไม่ใช่แค่เรื่องของอายุ
อัลไซเมอร์เป็นโรคสมองเสื่อมที่พบได้บ่อย 60 – 80% โดยที่ผู้ป่วยไม่ได้มีอาการแค่เรื่องความจำ แต่ยังมีปัญหาเชิงพฤติกรรมร่วมด้วย การสังเกตรู้เท่าทันจะช่วยลดความรุนแรงที่เกิดขึ้นได้
โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s Disease) เกิดจากความเสื่อมของการทำงานของสมอง มาจากความผิดปกติของโครงสร้างเนื้อเยื่อสมอง จากโปรตีนชื่อว่าเบตา–อะไมลอยด์ (Beta-amyloid) และทาว (Tau) มีผลทำให้เซลล์สมองเสื่อมลง สูญเสียการทำงาน ความทรงจำเสียหาย และทำลายสมองส่วนอื่น ๆ จนเกิดความผิดปกติของความคิด พฤติกรรม และการใช้ชีวิตประจำวัน
อัลไซเมอร์เป็นโรคทางสมองเสื่อมที่พบได้บ่อย 60 – 80% โดยผู้ป่วยในกลุ่มนี้ไม่ได้มีอาการแค่เรื่องความจำ แต่จะมีปัญหาเรื่องพฤติกรรมร่วมด้วย
"ออกกำลังกาย" อาจทำให้นอนไม่หลับได้? ควรเว้นกี่ชม.ช่วยเพิ่มการนอนที่ดี
5 เทคนิคคนอ้วนง่าย เพิ่มอัตราการเผาผลาญ ช่วยคุมน้ำหนัก รักษาหุ่นเป๊ะ

และจะเริ่มจากบกพร่องเล็กน้อยไปจนถึงสมองเสื่อม เพราะฉะนั้นหากตอนนี้คุณมีปัญหาด้านพฤติกรรมและความจำ แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อเช็กความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้
อาการที่สังเกตได้เบื้องต้นคือ
- หลงลืม
- จำเรื่องที่เพิ่งผ่านไปไม่ได้
- ถามหรือพูดเรื่องเดิมซ้ำ ๆ
- หาของไม่เจอ หลงบ่อย
- สื่อสารไม่ได้ นึกคำไม่ออก ใช้คำผิด
- ไม่มีสมาธิ จดจ่อได้ไม่นาน
- บริหารจัดการ วางแผน แก้ไขปัญหา ใช้เหตุผลไม่ได้
- หวาดระแวง วิตกกังวล หยาบคาย เศร้า ท้อแท้ เฉื่อยชา.
ปัจจัยเสี่ยงอัลไซเมอร์
- อายุมากกว่า 65 ปี
- ดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมาก
- สูบบุหรี่
- มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ไขมัน ความดันที่คุมไม่ดี
- นอนพักผ่อนไม่เพียงพอ
- มีภาวะซึมเศร้า
- อุบัติเหตุกระทบกระแทกทางสมองรุนแรง
- ภาวะหูตึงหรือการได้ยินที่ลดลง
- ฝุ่น PM 2.5
- ภาวะน้ำหนักเกิน
- การไม่ได้พบปะผู้อื่นหรือเข้าสังคม และการไม่มีกิจกรรมทางกาย (Physical Inactivity)
การตรวจวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์
- แบบทดสอบการทำงานของสมองอย่างละเอียด
- เจาะเลือด เช่น การทำงานของไทรอยด์และระดับวิตามินในเลือด
- การตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสมอง
- การตรวจด้วย PET Scan (FDG, Amyloid, Tau PET Scan)
- การตรวจเลือดหาสาร Amyloid, Tau (ยังไม่เป็นมาตรฐานทั่วไป อยู่ในขั้นตอนศึกษาวิจัยและใช้ในงานวิจัยเป็นหลัก)
แหล่ง “โพรไบโอติกส์” และ “พรีไบโอติกส์”คู่หูช่วยปรับสมดุลระบบย่อยอาหาร
อัลไซเมอร์รักษาได้หรือไม่?
รักษาแบบไม่ใช้ยา
- การทำกายภาพบำบัด
- การฝึกสมอง
- การเล่นเกมต่าง ๆ
- การฝึกช่วยเหลือตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
- การออกกำลังกาย มีสุขอนามัยการนอนที่ดี รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ดูแลเรื่องน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ควบคุมโรคประจำตัวให้ดี และแก้ไขเรื่องการได้ยินหากมีความผิดปกติ
การรักษาแบบใช้ยา ต้องได้รับการประเมินโดยแพทย์เฉพาะทาง
- การใช้ยาชะลอไม่ให้สมองเสื่อมเพิ่มขึ้น
- การใช้ยาปรับอาการทางพฤติกรรมต่าง ๆ เช่น อาการวุ่นวายสับสน อาการกระสับกระส่าย อาการทางจิต ภาวะนอนไม่หลับ เป็นต้น
ทั้งนี้หากมีอาการหลงลืมผิดปกติแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ไม่ต้องรอให้สูงอายุ หรือเกิดปัญหาการใช้ชีวิต ชะลอก่อนมีโอกาสหายได้
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลกรุงเทพ อินเตอร์เนชั่นแนล
ภาวะสมองตาย คืออะไร ? หนึ่งในเงื่อนไข “บริจาคอวัยวะ” ให้กับผู้อื่น
ท่าออกกำลังกายแก้ปวดหลัง ข้อสะโพกตึง ป้องกันปัญหาปวดเรื้อรัง