ขี้โมโห หดหู่ง่าย สัญญาณโรคซึมเศร้า เป็นนานเกิน 2 สัปดาห์รีบพบแพทย์
ปกติแล้วความเศร้า จะค่อยๆหายไปเมื่อสถานการณ์ต่างๆดีขึ้น แต่หากเศร้า มองโลกในแง่ร้าย ฉุนเฉียวง่าย นานเกิน 2 สัปดาห์ควรไปพบแพทย์ เพราะอาจเกิดจากปัญหาใจ โรคทางจิตเวช ซึงเศร้า อันตรายที่คร่าชีวิตได้
โรคซึมเศร้าเป็นโรคทางจิตเวชที่พบบ่อยมาก แต่คนส่วนหนึ่งเข้าใจว่าผู้ป่วยกำลังคิดมากไปเอง และมักปลอบใจด้วยคำพูดแค่ว่า “อย่าคิดมาก” ซึ่งนั่นไม่ได้มีผลช่วยให้อารมณ์เศร้าดีขึ้นแต่อย่างใด เนื่องจากอาการเศร้านั้นจะเป็นมากจนเกิดการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง (Neurotransmitter) เพราะฉะนั้นจึงควรเข้ารับการรักษา ซึ่งจะมีการให้ยาต้านอารมณ์เศร้าโดยจิตแพทย์
ภาวะพึงพอใจในตนเองต่ำ จากความเครียดและกดดัน แนะวิธีฮีลใจยอมรับในตัวเอง
เปิดสาเหตุ “นอนไม่หลับ” วิธีแก้เบื้องต้น เป็นนานแค่ไหนควรพบแพทย์?
Freepik/freepik
ซึมเศร้า

ปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดโรคซึมเศร้า
- ความเครียดหรือภาวะกดดันในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วย หรือการสูญเสีย สอบตก อกหัก การนอกใจ ฯลฯ แต่ก็พบได้มากที่ผู้ป่วยเกิดโรคซึมเศร้าได้เอง โดยไม่มีเรื่องกระทบจิตใจแต่อย่างใด
สัญญาณเตือนที่หากนานเกิน 2 สัปดาห์ควรไปพบแพทย์
อารมณ์
- ไม่สดชื่น ไม่เบิกบาน หมดสนุก
- หดหู่ เศร้าหมอง เบื่อหน่าย ท้อแท้ชีวิต
- หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย อ่อนไหวต่อคำพูด
ความคิด
- ไม่มีสมาธิในการทำงาน ความจำแย่ลง
- มองโลกในแง่ร้าย ไม่มีสิ่งดีๆ ในตนเอง ขาดความมั่นใจในตนเอง
- รู้สึกว่าตัวเองผิด (อย่างไม่สมเหตุสมผล) รู้สึกตัวเองไร้คุณค่า
- คิดอยากทำร้ายตนเอง หรือไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป
อาการทางกาย
- อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เคลื่อนไหวเชื่องช้า
- ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อต่าง ๆ
- หลับยาก หลับไม่สนิท หลับแล้วตื่นกลางดึก (นอนต่อไม่หลับ)
- ไม่สนใจทำกิจกรรมที่เคยชอบ ขาดความกระตือรือร้น
โรคซึมเศร้าไม่ใช่เพียงแค่อารมณ์เศร้าที่เกิดจาก “ปัญหาในการปรับตัว” ต่อความเครียดเท่านั้น ภาวะเศร้ามักค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป หากผู้ป่วยมีอาการดังกล่าวต่อเนื่องเกิน 2 สัปดาห์ มีปัญหาบกพร่องในการทำงาน รวมถึงความสัมพันธ์กับคนรอบข้างควรคิดถึง “โรคซึมเศร้า”
ปัจจุบันการรักษาโรคซึมเศร้าได้ผลดีมาก โดยการใช้ยาต้านอารมณ์เศร้า (Antidepressants) ซึ่งมีหลายชนิด เราพบว่าผู้ป่วยแต่ละรายมักได้ผลยาแต่ละชนิดแตกต่างกัน ซึ่งแพทย์จะเริ่มต้นให้ยาในขนาดน้อย ๆ แล้วพิจารณาปรับเพิ่มขนาดยาจนถึงระดับที่ออกฤทธิ์ได้ผล ซึ่งมักใช้ระยะเวลาประมาณ 4-6 สัปดาห์ หากไม่ได้ผล แพทย์จะพิจารณาเปลี่ยนยา เพราะฉะนั้นผู้ป่วยควรรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากการกินยาแล้ว จิตแพทย์จะให้การบำบัดด้วยการ “ปรับความคิด-เปลี่ยนพฤติกรรม” (Cognitive-Behavioral Therapy) เพื่อให้ผู้ป่วยมีมุมมองทางบวกต่อตนเองและโลกภายนอก เห็นทางออกของปัญหา และตระหนักถึงศักยภาพของตนเองในการเผชิญเรื่องท้าทายของชีวิต รวมทั้งการปรับเปลี่ยนรูปแบบในการดำเนินชีวิต เพื่อสร้างความรื่นรมย์และความเบิกบานให้แก่ชีวิต
ในกรณีที่อารมณ์เศร้าเป็นรุนแรงมาก เช่น มีความเสี่ยงสูงที่จะทำร้ายตนเอง หรือมีอาการโรคจิตร่วมด้วย ระแวง หูแว่ว ประสาทหลอน จิตแพทย์จะรับไว้รักษาตัวในโรงพยาบาล โดยมีญาติดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
ภาวะ PTSD ความผิดปกติทางอารมณ์ เฝ้าระวังหลังเหตุแผ่นดินไหว
อย่างไรก็ตาม ไม่ควรหยุดยาเองเพราะอาจทำให้อาการเศร้ากำเริบได้ แพทย์จะพิจารณาให้ผู้ป่วยกินยา (ในขนาดต่ำที่สุด) อย่างต่อเนื่องเป็นปีจนสามารถหยุดยาได้ในที่สุด
คำแนะนำวิธีใช้ชีวิตร่วมกับผู้ป่วยซึมเศร้า
- รับฟัง เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยระบายความทุกข์ใจ เข้าใจและยอมรับโดยไม่มีการตอกย้ำซ้ำเติม
- ชักจูงให้ผู้ป่วยร่วมกิจกรรมที่สนุกสนานหรือท่องเที่ยวสถานที่ธรรมชาติ
- ดูแลให้ผู้ป่วยกินยาตามเวลาอย่างสม่ำเสมอ
- รายงานแพทย์ทันที หากพบว่าผู้ป่วยมีความคิดอยากทำร้ายตนเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลพญาไท 2