“คนไทยไร้สิทธิ” ความเลื่อมล้ำที่แม้แต่ป่วยก็รักษาไม่ได้
ปัญหา “คนไทยไร้สิทธิ” เป็นความเลื่อมล้ำที่มีอยู่ในสังคมไทยมาช้านาน ที่แม้แต่เจ็บป่วยก็เข้าสู่ระบบรักษาไม่ได้ จนเกิดความร่วมมือระหว่าง 9 หน่วยงานเข้ามาผลักดันเรื่องนี้ นับเป็นก้าวแรกของความหวังไปสู่สังคมไทยที่ไม่มีใครต้องไร้สิทธิอีกต่อไป
ปัจจุบันถึงแม้จะไม่รู้จำนวนที่แน่ชัดของ “คนไทยไร้สิทธิ” หากแต่มีการคาดการณ์ว่าคงมีจำนวนไม่น้อย แทรกตัวอยู่ในชุมชนต่าง ๆ ทั่วประเทศ ทั้งในเขตเมืองและชนบท ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตเป็นอย่างมาก เพราะการไม่มีสิทธิสถานะทางทะเบียนทำให้พวกเขาไม่ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานและสิทธิพลเมืองที่บุคคลคนหนึ่ง ๆ ควรจะได้รับ โดยเฉพาะระบบหลักประกันสุขภาพ เนื่องจากไม่มีชื่ออยู่ในระบบทะเบียนราษฎรอย่างถูกต้อง
2 ปี เอ็มโอยู “คนไทยไร้สิทธิ” เตรียมขยายผลสู่ความยั่งยืน
อัปเดต! ‘บัตรทอง 30 บาท’ ปี 2565 เช็กสิทธิประโยชน์ใหม่ครอบคลุมอะไรบ้าง
แต่ความป่วยไข้เป็นเรื่องที่รอไม่ได้ หลายคนต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองทั้งหมด ทั้งที่มีรายได้ไม่มากนัก หรือบางคนอาจถูกปฏิเสธการรักษา เพราะสถานพยาบาลต่างไม่กล้ารับเข้ามาเป็นผู้ป่วยใน จนต้องทนอยู่สภาพเจ็บป่วยเรื้อรังเพราะไม่มีเงินจ่ายค่ารักษา และกลายเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเพราะในบางรายทนความเจ็บปวดไม่ไหวจนถึงขั้นเสียชีวิต
คนไทยไร้สิทธิ คือใคร
“คนไทยไร้สิทธิ” คือ บุคคลที่มีสัญชาติไทยแต่ยังไม่ได้รับการกำหนดสถานะบุคคลที่ถูกต้องทำให้ไม่ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานและสิทธิพลเมือง เนื่องจากไม่มีชื่อในระบบทะเบียนราษฎรที่ถูกต้อง หรือได้รับการจัดทำทะเบียนราษฎรแล้วแต่ถูกจำหน่ายออก โดยแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ ประกอบด้วย
1.กลุ่มตกหล่น จากการให้ข้อมูลไม่ตรงกับความเป็นจริงจนทำให้เกิด Error ในฐานข้อมูล เช่น พ่อแม่ฝากตายายเลี้ยงลูก แจ้งเกิดเรียบร้อยแล้ว แต่ตายายหวังดีก็ไปแจ้งเกิดซ้ำ ทำให้เด็กคนนี้ไม่มีสิทธิใด ๆ ทั้งสิ้น หรืออาจตกหล่นเพราะผู้ปกครองไม่ได้พาไปแจ้งเกิด เนื่องจากเกิดที่ต่างประเทศ ออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก หรือตัวผู้ปกครองเองก็เป็นคนไร้สิทธิสถานะ
2.กลุ่มที่ถูกแจ้งย้ายเข้าทะเบียนบ้านกลาง แล้วไม่ไปแสดงตน ขาดการติดต่อกับราชการ จนถูกแทงเข้ากลุ่ม ทร.97 จนกลายเป็นกลุ่มที่ไม่มีสิทธิอะไรเลย แต่ถ้าไปติดต่อขอคืนและมีหลักฐานยืนยันตัวตน ก็สามารถดึงกลับมาจาก ทร.97 ได้
จุดเริ่มต้นของการทำงานเพื่อสิทธิของคนไทยตกหล่น
จากการทำงานของภาคประชาสังคมและภาครัฐการสำรวจสถานการณ์คนไร้บ้านเชิงลึกในกรุงเทพมหานคร และในเมืองใหญ่ของประเทศไทยในปี 2559-2560 ของ สสส. ร่วมกับ สปสช. มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และภาคีเครือข่าย พบว่า คนไร้บ้านประมาณ 30% ในทุกพื้นที่มีปัญหาตกหล่นจากสิทธิสถานะ ส่งผลกลุ่มเปราะบางทางสังคมนี้เข้าไม่ถึงหลักประกันคุณภาพ และสวัสดิการพื้นฐานสำคัญของการมีสุขภาวะและคุณภาพชีวิตที่ดี
เป็นข้อมูลที่พิสูจน์ให้เห็นว่าคนที่ประสบปัญหาสิทธิสถานะ ไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในพื้นที่ชนบทหรือพื้นที่ห่างไกลอย่างที่พบเห็นในหน้าสื่อเท่านั้น แต่ในเมืองหลวงหรือในใจกลางเมืองอย่างกรุงเทพมหานคร ก็มีผู้ประสบปัญหาเช่นกัน
สถานการณ์ดังกล่าวจึงนำไปสู่การจัดทำบันทึกความร่วมมือ (เอ็มโอยู) “การดำเนินงานพัฒนาการเข้าถึงสิทธิหลักประกันสุขภาพของคนไทยที่มีปัญหาสถานะทางทะเบียน” หรือที่เรียกกันในชื่อ เอ็มโอยู “คนไทยไร้สิทธิ” ในปี 2561 ที่จัดทำขึ้นระหว่าง 9 หน่วยงาน ได้แก่ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) องค์การแพลน อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย และมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย
และนำไปสู่การจัดตั้ง “คณะทำงานพัฒนาการเข้าถึงบริการระบบหลักประกันสุขภาพของกลุ่มคนไทยที่มีปัญหาสถานะ” ที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนให้คนไทยไร้สิทธิเข้าถึงหลักประกันทางสุขภาพ จนตอนนี้ก็ดำเนินการมาถึง 2 ปีแล้ว
2 ปีการผลักดันกลุ่มเปราะบางเข้าระบบหลักประกันสุขภาพ
ภายหลังการขับเคลื่อนเอ็มโอยู “คนไทยไร้สิทธิ” มากว่า 2 ปี คณะทำงานฯและเครือข่ายต่างร่วมมือกันจนเกิดเป็นความร่วมมือระดับพื้นที่ที่เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น โดยเริ่มนำร่องช่วยเหลือคนไทยไร้สิทธิสถานะใน 7 จังหวัดก่อน ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ปราจีนบุรี ตราด อุบลราชธานี กาญจนบุรี สงขลา และสระบุรี
เริ่มต้นจาก การพัฒนาเครือข่ายเพื่อแก้ไขปัญหาคนไทยไร้สิทธิใน 7 จังหวัด ที่เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างภาคประชาสังคมมูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย สสส., สปสช. สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อให้คณะทำงานฯสามารถให้คำปรึกษา คำแนะนำ หรือพาคนไทยไร้สิทธิสถานะมาขึ้นทะเบียนรองรับสถานะ และพาเข้าสู่กระบวนการต่าง ๆ รวมถึงการพิสูจน์อัตลักษณ์ด้วยการตรวจ DNA จนได้รับบัตรประชาชน หรือ บัตรประจำตัวบุคคลที่ขึ้นต้นด้วยเลข 0 กรณีที่ไม่สามารถทำบัตรประชาชนได้
ซึ่งในปัจจุบันทั้งสองกลุ่มนี้ ได้รับสิทธิการรักษาใกล้เคียงกันมาก แต่กลุ่มที่มีบัตรประจำตัวบุคคลที่ขึ้นต้นด้วยเลข 0 จะมีสถานพยาบาลรองรับการเข้าใช้สิทธิรักษาพยาบาลได้น้อยกว่า
นอกจากนี้ ยังพัฒนาประสิทธิภาพโรงพยาบาล (รพ.) ในพื้นที่ ให้สามารถเก็บสารพันธุกรรม (DNA) เพื่อพิสูจน์อัตลักษณ์ของคนไทยกลุ่มตกหล่นได้ ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้กับคนไทยไร้สิทธิที่ต้องได้รับการตรวจ DNA โดยปัจจุบันได้มีการนำร่องในจังหวัด ได้แก่ โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร และโรงพยาบาลตราด
อย่างไรก็ตาม ปัญหาเรื่องสุขภาพเป็นเรื่องที่ไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร สปสช.จึงปลดล็อกให้คนไทยไร้สิทธิสถานะ ที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนกลาง ยังรอการพิสูจน์ตัวตน หรือบัตรประจำตัวสูญหาย ให้สามารถใช้สิทธิระบบหลักประกันสุขภาพได้ เพื่อลดการสูญเสียในช่วงการรอการพิสูจน์ตัวตน เพียงยื่นหลักฐาน ท.ร.14/1 หรือ ทร.12 และในกรณีที่มีเหตุจำเป็นต้องเข้ารักษาในสถานพยาบาลฉุกเฉิน สามารถเข้ารับบริการจากหน่วยงานเพียงลงทะเบียนด้วยเลขทะเบียน 13 หลักของผู้มีสิทธิ คู่กับบัตรประจำตัวประชาชนของพยานบุคคลที่น่าเชื่อถือ
ทั้งหมดนี้นับเป็นความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนงานด้าน “คนไทยไร้สิทธิ” ที่ทำให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนมากขึ้น แต่ตรงนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะมีการคาดการณ์ว่าอาจมีประชาชนชาวไทยอีกหลายคนที่ยังตกหล่น
เตรียมขยายผล MOU สู่ความยั่งยืน
เพื่อให้คณะทำงานฯและเครือข่ายสามารถขับเคลื่อนเมืองไทยไปสู่สังคมที่ “ไม่มีใครต้องไร้สิทธิ” ล่าสุดทั้ง 9 หน่วยงานได้จัดเวทีพูดคุยแลกเปลี่ยนความก้าวหน้าและการแก้ไขปัญหาสิทธิสถานะของคนไทยที่ตกหล่น ภายหลังการทำเอ็มโอยูร่วมกัน เพื่อพัฒนาแนวทางแก้ปัญหาไปสู่ความยั่งยืน
จากการพูดคุย พบว่า ปัญหาที่ยังพบอยู่หลัก ๆ คือ กลุ่มประชาชนที่ตกหล่น พวกเขาเป็นกลุ่มคนเปราะบางที่อ่อนแอที่สุดในสังคม การที่พวกเขาจะลุกขึ้นมาต่อสู้กับระบบราชการที่แข็ง และยืดหยุ่นน้อย เรื่องนี้แทบเป็นไปไม่ได้ ที่สำคัญพวกเขาแทรกตัวอยู่ทั่วประเทศ แต่มักอยู่อย่างไร้ตัวตน เปรียบเหมือนดอกเห็ด ที่จะผุดขึ้นมาต่อเมื่อเผชิญกับปัญหาจริง ๆ เช่น การเจ็บป่วย หรือการเข้าสู่ระบบการศึกษา ซึ่งการมีเครือข่ายแก้ไขปัญหาคนไทยไร้สิทธิใน 7 จังหวัดตอนนี้อาจไม่เพียงพอ และการเก็บข้อมูลทางสถิติของคนไทยไร้สิทธิเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ในการวางแผนงานและติดตามสถานการณ์การคืนสิทธิให้พวกเขา
ไม่เพียงเท่านั้น ยังพบปัญหาเรื่องทะเบียนราษฎร์ ที่ยังมีข้าราชการบางพื้นที่ดำเนินการล่าช้า หรือปฏิเสธการดำเนินเรื่องให้ ทำให้ประชาชนกลุ่มตกหล่นต้องรอบัตรประชาชน หรือบัตรประจำตัวบุคคลที่ขึ้นต้นด้วยเลข 0 เป็นเวลาประมาณ 1 ปี อย่างไรก็ตามตัวเลขนี้ลดลงมาจากอดีตแล้ว ที่ใช้เวลาในการดำเนินเรื่องนับ 30-50 ปีก็มี
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาระหว่างทาง ที่จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวตนด้วยการตรวจ DNA อีก ซึ่งปัจจุบันมีโรงพยาบาลเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่สามารถตรวจ DNA ได้ ทำให้ต้องเดินทางไกล และเสียค่าใช้จ่ายตามมาเป็นจำนวนมาก ทั้งที่กลุ่มตกหล่นส่วนใหญ่ก็เป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อยอยู่แล้ว
ดังนั้นการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ จำเป็นต้องมีเครือข่ายที่จะคอยต่อสู้เคียงข้างกันไปร่วมกับพวกเขา โดยจะต้องขยายสเกลสู่ระดับจังหวัด ให้แต่ละจังหวัดมีอย่างน้อย 1 คณะทำงานดูแลและประสานงานเรื่องนี้ และที่สำคัญจะต้องทำหน้าที่สังเกตและเก็บข้อมูลกลุ่มเปราะบางที่ตกหล่นผ่านการเข้ารักษาในสถานพยาบาลต่าง ๆ หรือการเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนด้วย เพื่อวางแผนขับเคลื่อนเมืองไทยไปสู่เป้าหมายสังคมไทยไม่มีใครต้องไร้สิทธิให้ใกล้ความเป็นจริงได้เร็วขึ้น
นอกจากจะสร้างเครือข่ายในระดับพื้นที่แล้ว ก็ควรจะมีหน่วยตรวจ DNA ระดับพื้นที่ด้วย เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางให้กลุ่มตกหล่นนี้เข้าถึงระบบการตรวจยืนยันรับรองสิทธิที่ง่ายและรวดเร็วขึ้น
ส่วนปัญหาเรื่องทะเบียนราษฎร์ ทางกระทรวงมหาดไทยได้เตรียมทำระบบรับคำร้องกลุ่มตกหล่นแบบเรียลไทม์แล้ว ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่คอยเช็กและติดต่อกลับ ดูแลตลอดกระบวนการขอบัตรประชาชน หรือบัตรประจำตัวบุคคลที่ขึ้นต้นด้วยเลข 0 ส่วนผู้ที่ยื่นหลักฐานการยืนยันตัวตนแล้ว แต่การทำเดินงานของราชการล่าช้า ก็มีหนังสือซักซ้อมระดับอำเภอ สั่งการให้สำนักทะเบียนทุกแห่งจะต้องให้ความสำคัญกับบุคคลกลุ่มเป้าหมายนี้และห้ามปฏิเสธการดำเนินเรื่องให้กลุ่มตกหล่น ที่มีรายชื่ออยู่ในฐานข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยเอง และจากคณะทำงานฯกรอกข้อมูลลงระบบให้
พร้อมกับจะพัฒนา “สิทธิของผู้มีบัตรประจำตัวบุคคลที่ขึ้นต้นด้วยเลข 0” ให้ได้รับสิทธิที่เท่าเทียมกับสิทธิบัตรทอง และกรณีกลุ่มตกหล่นถูกจำหน่ายออกเพราะไม่มีทะเบียนบ้านอื่นมารองรับ จะต้องหารือกันต่อไปว่า จะหาทะเบียนบ้านอื่นมารองรับเขาอย่างไร เพื่อคืนสถานะให้เขา
เอ็มโอยูนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นของความหวังที่จะขับเคลื่อนเมืองไทยไปสู่สังคมที่ “ไม่มีใครต้องได้สิทธิ” ได้อย่างแท้จริง แม้ที่ผ่านมาจะทำให้การแก้ไขปัญหาคนไทยตกหล่นสิทธิสถานะมีความเป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้น แต่ก็ยังต้องอาศัยความร่วมมือของทุกคนช่วยขยับกันต่อไปอย่างเข้มแข็ง เพื่อให้คนไทยไร้สิทธิทุกคนสามารถเข้าถึงหลักประกันทางสังคมและสุขภาพได้อย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพ อันเป็นพื้นฐานสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตและลดความเหลื่อมล้ำ
เช็ก “10 สิทธิประโยชน์บัตรทอง ” จาก สปสช. ตั้งแต่ 1 ม.ค.65 เป็นต้นไป
บัตรทองต้องรู้! อัปเดตสิทธิประโยชน์ผู้ป่วยปี 2565 รักษาฟรีที่ไหนบ้าง?