เฝ้าจับตา "โอมิครอน" BA.4, BA.5, BA.2.12.1 อาการป่วยอาจรุนแรงกว่าเดิม
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ เฝ้าจับตา โควิด "โอมิครอน" สายพันธุ์ย่อย BA.4, BA.5, BA.2.12.1 อาการป่วยอาจรุนแรงหนักกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิม คาดรอ 2-4 สัปดาห์ชัดเจน
เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2565 ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล เผยว่า การกลายพันธุ์บนสายจีโนมของไวรัสโคโรนา 2019 บริเวณยีนที่สร้างหนาม (Spike gene) ณ. ตำแหน่ง 452 อาจเป็นปัจจัยสำคัญทำให้ "โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.4, BA.5, และ BA.2.12.1" มีความสามารถที่จะแพร่ระบาดได้เร็วขึ้น (high transmissibility) อีกทั้ง ยังมีคุณสมบัติในการเชื่อมต่อผนังเซลล์ (ปอด) จากหลายเซลล์เข้ามาเป็นเซลล์เดียว (multinucleated syncytial pneumocytes)
โควิดBa.1+Ba.2 ลูกผสมตัวใหม่น่าจับตายิ่งกว่าเดลตาครอน
โควิด-19 โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2 หนีวัคซีนได้น้อยกว่า BA.1 เล็กน้อย
ฉีด Pfizer ฟรี! รพ.ศิริราชเปิดจองฉีดเข็ม 1-4 ประจำเดือน มิ.ย.65
พบโควิด-19 โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย BA.2 แล้วใน 57 ประเทศทั่วโลก
ซึ่งก่อให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อปอดได้ เช่นเดียวกับการติดเชื้อสายพันธุ์ "เดลตา" ที่ระบาดในอดีต
จากการถอดรหัสพันธุกรรมไวรัสโคโรนา 2019 ทั้งจีโนมพบการเปลี่ยนแปลงบริเวณส่วนหนามตำแหน่งที่ 452 จากกรดอะมิโน "ลิวซีน (L)" เปลี่ยนมาเป็น "อาร์จีนีน (R)" หรือ "กลูตามีน (Q)" (ภาพ 1) ทำให้ส่วนหนามมีคุณสมบัติที่สามารถเชื่อมต่อผนังเซลล์ที่อยู่ใกล้เคียง หลอมรวมเป็นเซลล์เดียว (cell fusion หรือ syncytia formation) ส่งผลให้ไวรัสสามารถแพร่ไประหว่างเซลล์ต่อเซลล์ได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องออกมานอกเซลล์ที่สุ่มเสี่ยงถูกจับและทำลายด้วยแอนติบอดีที่ถูกสร้างในร่างกายผู้เคยติดเชื้อตามธรรมชาติและจากการฉีดวัคซีน
บรรดาเซลล์ปอดติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่หลอมหลวมรวมเป็นเซลล์เดียว (infected multinucleated syncytial pneumocytes) จะเป็นเซลล์ขนาดใหญ่ภายในเซลล์มีหลายนิวเคลียส ดีเอ็นเอภายในเซลล์ดังกล่าวถูกทำลายแตกหัก ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายผู้ติดเชื้อมองเป็นสิ่งแปลกปลอมและเข้ามาทำลายเซลล์ที่มีหลายนิวเคลียส (syncytial pneumocytes) เหล่านั้น เกิดการอักเสบลุกลามเกิดเป็นปอดบวมอันอาจทำให้ผู้ติดเชื้อเสียชีวิตได้
โอมิครอน BA.4 และ BA.5 โผล่แอฟริกาใต้ แพร่ไวแต่อาจไม่รุนแรงไปกว่าตัวอื่น
สายพันธุ์ "เดลตา" มีการกลายพันธุ์ของหนามเป็น "R452" (ภาพ1 และ ภาพ 2 กรอบแดง) ก่อให้เกิดการติดเชื้อรุนแรง (high pathogenicity) อันเนื่องมาจากเกิดอาการปอดอักเสบจากการหลอมหลวมของเซลล์ติดเชื้อหลายเซลล์เข้ามาหลอมรวมเป็นเซลล์เดียวกัน (syncytial pneumocytes)
ตรงกันข้ามกับสายพันธุ์โอมิครอนดั้งเดิม (B.1.1529) เช่น BA.1, BA.1.1 และ BA.2 ไม่มีการกลายพันธุ์ กรดอะมิโนยังคงเป็น “L452” (ภาพ1 และภาพ 2 กรอบเขียว) ซึ่งสอดคล้องกับอาการทางคลินิกของโอมิครอนสายพันธุ์ดั้งเดิมที่อาการไม่รุนแรง สาเหตุหนึ่งอาจเป็นเพราะไม่เกิด syncytial pneumocytes ในเซลล์ปอดที่ติดเชื้อ
แต่ที่น่ากังวลคือทั้งไวรัส "BA.4" และ "BA.5" ที่ WHO ประกาศให้เฝ้าระวังเพราะกำลังมีการระบาดในประเทศแอฟริกาใต้กลับมีการกลายพันธุ์เป็น R452 (ภาพ1 และ ภาพ 2 กรอบฟ้า) ส่วนไวรัส BA.2.12.1 ที่ระบาดในสหรัฐอเมริกาก็มีการกลายพันธุ์เป็น "Q452" (ภาพ1 และ ภาพ 2 กรอบเหลือง) กลับไปเหมือนกับสายพันธุ์ "เดลตา" (ภาพ1 และ ภาพ 2 กรอบแดง) คือสามารถก่อให้เกิดเซลล์ติดเชื้อหลายเซลล์เข้ามาหลอมรวมเป็นเซลล์เดียวกัน (syncytial pneumocytes)
ดังนั้น มีแนวโน้มที่โอมิครอน สายพันธุ์ย่อย BA.4, BA.5, BA.2.12.1 อาจจะมีการติดเชื้อที่มีอาการรุนแรงกว่าโอมิครอนสายพันธุ์ดั้งเดิม ซึ่ง WHO และนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกกำลังเฝ้าติดตามอาการทางคลินิกจากการติดเชื้อ BA.4, BA.5 และ BA.2.12.1 จากประเทศแอฟริกาใต้ และสหรัฐอเมริกาใน 2-4 สัปดาห์จากนี้ โดยข้อมูลอัปเดตล่าสุด พบว่า มีจำนวนผู้ป่วยที่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลของ 2 ประเทศเริ่มเพิ่มขึ้นแล้ว แต่อัตราผู้เสียชีวิตยังคงเดิม