ชัยชนะ "เพื่อไทย" เหนือ "พปชร." แค่ศึกเล็ก "บิ๊กป้อม" คุมองค์กรอิสระเพียบ!

โดย PPTV Online

เผยแพร่

วิเคราะห์"พรรคเพื่อไทย" เขี่ย "พรรคพลังประชารัฐ" เป็นแค่ชัยชนะในศึกเล็ก เชื่ออำนาจ "บิ๊กป้อม" คุมองค์กรอิสระเพียบ ด้าน "ประชาธิปัตย์" แบ่งเป็น 2 ชุดความคิด ใครสวนมติพรรคเสี่ยงถูกขับ

หลังจากเมื่อวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา นายสรวงศ์  เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย เผยภายหลังประชุมกรรมการบริหารพรรคว่า ที่ประชุมมีมติไม่สามารถที่ร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ ที่มี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นหัวหน้าพรรคได้ และเดินหน้าทาบทามพรรคแระชาธิปัตย์เข้ามาร่วมรัฐบาลนั้น

ทำให้เกิดการตั้งคำถามว่า หลังจากนี้ พลเอกประวิตร จะเกมโอเวอร์ ทางการเมืองหรือไม่ หรือ ครม. ที่ได้พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วม จะเป็นอย่างไรต่อไป

คอนเทนต์แนะนำ
เพื่อไทยร่อนหนังสือเทียบเชิญประชาธิปัตย์ ขอให้ส่งชื่อ รมต.โดยด่วน!
“ก่อแก้ว”ไม่ติดใจปชป.ร่วมรัฐบาล ชี้ กก.บห.พรรค คนละชุดกับปี 53
เผย"ลุงป้อม"ดูดไปป์อารมณ์ดี แม้เพื่อไทยหักหลัง เย้ย ไม่มีทางปิดสวิตซ์ 3 ป.

 

ภาพรศ.ธนพร ศรียากูล นักวิเคราะห์การเมือง และ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ร่วมพูดคุยกับ PPTV ในรายการเข้มข่าวเย็น ช่วงคุยข้ามช็อต Exclusive Talk รายการเข้มข่าวเย็น Exclusive Talk
รศ.ธนพร ศรียากูล นักวิเคราะห์การเมือง และ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ร่วมพูดคุยกับ PPTV ในรายการเข้มข่าวเย็น ช่วงคุยข้ามช็อต Exclusive Talk

รศ.ธนพร ศรียากูล นักวิเคราะห์การเมือง และ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ร่วมพูดคุยกับ PPTV ในรายการเข้มข่าวเย็น ช่วงคุยข้ามช็อต Exclusive Talk เกี่ยวกับกรณีนี้ไว้อย่างน่าสนใจ

"เพื่อไทย" ตัด "พลังประชารัฐ" เป็นแค่ชัยชนะศึกเล็ก เผย "บิ๊กป้อม" คุมเครือข่ายองค์กรอิสระเพียบ!

รศ.ธนพร กล่าวว่า ณ วันที่นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรีถูกตัดสินให้พ้นจากตำแหน่งด้วยมติ 5-4 นั้น เป็นตัวเลขที่มีความหมายมาก ตนได้ตรวจสอบย้อนหลังจนสามารถพูดได้ว่า มติ 5-4 ในวันนั้น คือปฏิบัติการของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ สงครามยังไม่สงบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร

ฤทธิ์เดชของ “ลุงป้อม” อยู่ที่องค์กรอิสระ และองค์กรอิสระในวันนี้ แม้สภาและวุฒิสภาจะเป็น “เนวินสภา” แต่การที่องค์กรอิสระจะเป็นเนวินสภาจริง ๆ ต้องใช้ระยะเวลาอีกประมาณปีกว่า ๆ หรือ 2 ปี เพราะศาลรัฐธรรมนูญหลายท่านจะทยอยหมดวาระ ซึ่งในช่วงเวลานี้ ฤทธิ์เดชของพลเอกประวิตรยังเต็มเปี่ยม

รศ.ธนพร กล่าวต่อว่า เครือข่ายของพลเอกประวิตรไม่มีใครยกมือยอมแพ้ เช่น เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ที่ออกมาร้องเรียนนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีทุกอาทิตย์ รวมถึงนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ที่ออกมาประกาศว่าไม่ยอมแพ้เช่นกัน

ด้าน พล.ท.ภราดร กล่าวว่า การที่พรรคเพื่อไทยตัดขาดพรรคพลังประชารัฐนั้น แท้จริงแล้วเป็นการตัดขาดเฉพาะตัว “บิ๊กป้อม” แต่ก็ยังใช้บริการของพรรคพลังประชารัฐบางกลุ่ม จริง ๆ ไม่มีการสะบั้นความสัมพันธ์ใด ๆ กับพรรค เพียงแต่ต้องเอาเฉพาะ "ลุงป้อม" กับคณะเล็ก ๆ ออกไป และเชื่อว่าคณะใหญ่ของพรรคพลังประชารัฐยังสามารถเอื้อประโยชน์กับพรรคเพื่อไทยได้อยู่

ตอนนี้สามารถเห็นภาพได้ว่า พรรคพลังประชารัฐต้องเป็นกลุ่มที่เอื้ออาทรและมาจับมือกับพรรคเพื่อไทย นำบิ๊กป้อมออกไป และให้อีกกลุ่มนำพรรคมาเข้าร่วม แต่ในสายตาของประชาชนมองว่า กลุ่มที่พรรคเพื่อไทยนำมาเป็นกลุ่มที่ถือธงสีดำ เครดิตต่อประชาชนนั้นไม่มี

หากถามเรื่องความแข็งแรงของพรรค สามารถกล่าวได้ว่า พรรคเพื่อไทยไม่ได้ทะเลาะกับแค่พลเอกประวิตรแค่คนเดียว แต่กลายเป็นว่าเผชิญหน้ากับพลเอกประวิตรและเครือข่ายที่ทั้งมองเห็นและมองเห็น ไม่ว่าจะเป็นในสภา นอกสภา องค์กรอิสระ และอื่น ๆ รวมถึงศัตรูที่อยู่ตรงข้ามนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ยังมีอยู่

เพราะฉะนั้น หากวิเคราะห์ทางทฤษฎีแล้ว สถานการณ์ของพรรคเพื่อไทยในขณะนี้มีแต่จุดอ่อนกับอุปสรรค ไม่มีจุดแข็ง ส่วนกรณีที่พรรคเพื่อไทยไม่ประกาศก่อนว่าจะไม่รับพรรคพลังประชารัฐเข้าร่วม ถือเป็นการตระบัตสัตย์หรือไม่นั้น ตนมองว่าการตระบัตสัตย์เป็นคุณลักษณะของพรรคเพื่อไทยไปแล้วในสายตาของประชาชน

พล.ท.ภราดร กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ สิ่งที่ตอกย้ำในเรื่องนี้คือ การประกาศขอจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมีตำนานประเภทเดียวกันคือตระบัตย์สัตย์ หากดันทุรังเดินต่อไป ไม่ให้เกียรติประชาชน ไม่มีประชาชนอยู่ในสมการ ยกที่จะเดินหน้าต่อไปได้

"3 ป." ไม่ใช่ผู้คน แต่เป็นเครือข่าย "อิ๊งค์" อาจไร้ช่วงเวลาฮันนีมูน

รศ.ธนพร กล่าวว่า สิ่งที่เราได้เห็นนับตั้งแต่ช่วงจัดตั้งรัฐบาล จะสังเกตได้ว่า คนที่เกลียดนายใหญ่เติบโตเร็วกว่าสมัยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หากนายน้อยยังไม่ทันตั้ง ครม. แค่ขึ้นไปผัดข้าวจังหวัดน่าน และถูกตั้งข้อสังเกตว่าเปิดแก๊สหรือไม่ ก็สามารถเห็นได้แล้วว่า วันนี้กระแสสลิ่มเกลียดนายใหญ่เกลียดนายน้อย มาเร็วกว่าสมัยนางสาวยิ่งลักษณ์หลายเท่า

นอกจากนี้ ยังมีศัตรูเก่า ๆ เพิ่มขึ้น ต้องบอกว่า “3 ป.” ไม่ใช่ตัวบุคคล แต่เป็นเครือข่าย เป็นกลุ่มพลังที่ก่อร่างสร้างอำนาจมาอย่างยาวนาน คนที่ต้องการกำจัดต้องแยกให้ออกระหว่างตัวบุคคล กับเครือข่าย และพลังทางการเมือง

รศ.ธนพร กล่าวต่อว่า สมาชิกวุฒิสภา (สว.) สีไหน องค์กรอิสระก็สีนั้น แต่ในกระบวนการเปลี่ยนสี ไม่ใช่ว่าวันนี้ สว. เป็นสีน้ำเงิน พรุ่งนี้องค์กรอิสระจะเป็นสีน้ำเงินทันที เพราะองค์กรอิสระแต่ละองค์กรมีวาระของเขา และเมื่อครบวาระก็จะมีกระบวนการสรรหาต่อไป ตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. และ ก.ก.ต. ทั้ง 3 องค์กรนี้กว่าจะเป็นสีน้ำเงินล้วนใช้เวลา 2 ปี ซึ่งเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับกรณีของนายเศรษฐาจะเห็นได้ว่าใช้เวลาเพียง 4-5 เดือน

เพราฉะนั้นจะได้เห็นเลยว่าอิทธิฤทธิ์ของเหล่าพลเอกในช่วงเปลี่ยนผ่านยังเต็มเปี่ยม ซึ่งจากการที่พรรคเพื่อไทยถีบพรรคพลังประชารัฐ จึงถือได้ว่าเป็นเพียงการชนะศึกหนึ่งเท่านั้น แต่หากไปดูในเนื้อหาแล้วจะเห็นว่า พรรคเพื่อไทยตัวสั่น เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่พรรคเพื่อไทยจะนำพรรคร่วมออกจากรัฐบาล

อีกประการหนึ่งคือ เราได้เห็นกรณีอาการกลัวที่จะดึงอีกปีกหนึ่งของพรรคพลังประชารัฐมาร่วมรัฐมนตรี เนื่องจากนายใหญ่เห็นว่ามติ 5-4 คือปฏิบัติการเดียวกันกับมติ 8-7 เมื่อ 20 กว่าปีก่อน เพราะฉะนั้นยังย้ำว่าองค์กรอิสระยังเป็นเครือข่ายของค่ายสีน้ำเงิน หากมองว่าครั้งนี้เป็นการชนะสงคราม แฟนคลับพรรคเพื่อไทยอย่าเพิ่งคิดเช่นนั้น และนายน้อยอาจไม่มีช่วงเวลาฮันนีมูนด้วยซ้ำ

ภาพรศ.ธนพร ศรียากูล นักวิเคราะห์การเมือง รายการเข้มข่าวเย็น Exclusive Talk
รศ.ธนพร ศรียากูล นักวิเคราะห์การเมือง

ด้าน พล.ท.ภราดร กล่าวว่า สิ่งที่พลเอกประวิตรยังเหลืออยู่นั้น มีหัวใจหลักคือองค์กรอิสระ ที่นายเศรษฐาถูกตัดสินให้พ้นจากตำแหน่งไป รวมถึงองค์กรอิสระอื่น ๆ ที่ยังคาราคาซังกันอยู่ ฉะนั้นการหาเครื่องไม้เครื่องมือที่จะจัดการกับรัฐบาลนี้ไม่ใช่เรื่องยาก อีกทั้งยังมีนักร้องขาประจำอย่างนายเรืองไกร ที่สามารถร้องเรียนรายวันยังได้

นอกจากนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ มีการเฉลยโจทย์ไว้ด้วย โดยในวันที่มีการแถลงนโยบายของนางสาวแพทองธารและคณะรัฐมนตรีจบเมื่อไหร่ ก็จะเริ่มมีการร้องเรียนเข้ามา รวมถึงช่วงที่ผู้นำทางจิตวิญญาณออกมา รวมถึงหลังเห็นรายชื่อคณะรัฐมนตรีก็จะมีการร้องเรียนเพิ่มขึ้นมาอีก

กรณีของนายเศรษฐาโดนเพียงคดีเดียวเท่านั้น หากรัฐบาลนี้ถูกดำเนินคดีจริง ๆ เครดิตการขับเคลื่อนรัฐบาลจะชลอตัวลงทันที และหากนางสาวแพทองธารโดนคดี และมีคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ก็อาจต้องนัดเลี้ยงอำลากันหลังจัดตั้งครม.

กลยุทธ์ "บิ๊กป้อม" ร้องเรียน "อิ๊งค์" ทำให้ระแวงรายวัน

พล.ท.ภราดร กล่าวว่า ณ จุดนี้คงปฏิเสธยาก แต่เป็นสิ่งที่ควบคู่กัน พลเอกประวิตรมี 2 เป้าหมาย ถ้าไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องจัดการกับฝ่ายตรงข้าม ซึ่งถ้าได้เป็นนายกรัฐมนตรีได้ก็โอเค แต่เป้าหมายอย่างหลังยังดำเนินการอยู่ แม้จะไม่เห็นคู่กรณีก็ตาม

พล.ท.ภราดร มองว่าการต่อสู้แบบไม่เห็นคู่กรณีของพลเอกประวิตรนั้นน่ากลัว จะเห็นได้ว่ากระบวนท่าของฝ่ายร้องนั้นครบทุกช็อต ทุกประเด็น รวมถึงครบทั้งตัวบุคคลและคณะ เพราะฉะนั้นเวลานี้ยังมองว่านางสาวแพทองธารจะไม่ได้มีเวลาฮันนีมูน

ด้าน รศ.ธนพร กล่าวว่า กระแสไม่ชอบนายใหญ่และนายน้อยในครั้งนี้นั้นมาเร็วเกินคาด รวมถึงต้นทุนทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยของรัฐบาลนายเศรษฐาที่ผ่านมานั้นต่ำ เนื่องจากยังไม่มีผลงานอะไรที่จับต้องได้ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา อารมณ์ความรู้สึกของสังคมเป็นเช่นนั้น และมาเจอข้อจำกัดต่อไปคือความศรัทธาที่จะเกิดขึ้นได้ ต้องมาจากการลงมือทำและเห็นผล

ขณะที่นายน้อยจะทำอะไรก็ต้องมาระแวงทุกวันว่าจะมีคนไปร้องเรียนหรือเปล่า หรือพูดอะไรไป 1 คำจะโดนร้องหรือไม่ ผลักดันโครงการนี้ไป 1 เรื่องจะโดนร้องเรียนหรือเปล่า

และฤทธิ์เดชของกลุ่มอำนาจเก่า หากสามารถสอยนายกนายน้อยได้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ก็ไม่กล้าเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะกลัวว่าสามารถโดนสอยได้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นจึงเห็นได้ว่าวันนี้พรรคร่วมรัฐบาลถนอมเนื้อถนอมตัวแบบสุด ๆ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหลักที่นายใหญ่ฟุ้งไว้ พรรคภูมิใจไทย จะเป็นตัวชี้เป็นชี้ตายอนาคตการเมืองของนายน้อย

รศ.ธนพร เชื่อว่า คนที่รู้ทันเทคนิคนโยบายของนายใหญ่ไม่พ้น นายเนวิน ชิดชอบ

เชิญชวน "ประชาธิปัตย์" ไม่ใช่เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้ง

รศ.ธนพร กล่าวว่า เงื่อนไขของพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะกลุ่มอาวุโสที่เป็นศัตรูกับนายใหญ่มาอย่างยาวนาน จะแตกต่างจากกรณีของพลเอกประวิตร ตรงที่ฤทธิ์เดชไม่มี แต่สิ่งที่มีเหมือนกันคือสามารถเรียกแฟนคลับเก่า ๆ ให้เข้ามารวมพลกันได้ในทางจิตวิทยาการเมือง

ขณะเดียวกัน ผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ต่อสู้บนเวทีการเมืองกับนายใหญ่เหมือนเมื่อก่อน แต่เป็นการต่อสู้ในสนามเลือกตั้งครั้งก่อนกับพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคภูมิใจไทย รวมถึงสงครามระบบเขต ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรทุกอย่างที่ชีวิตเขามีเพื่อที่จะมีที่ยืนทางการเมืองได้ในครั้งนี้

ถ้าผู้เฒ่าพรรคประชาธิปัตย์มีใครสวนมติพรรค ไม่เห็นด้วยกับคำเชิญร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย มีแต่การขับออกอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นนายชวน หลีกภัย หรือนายเฉลิมชัย ศรีอ่อนก็ตาม หรือไม่ว่าแฟนคลับดั้งเดิมจะต้องซับน้ำตา ถึงชั่วโมงนี้ซับเป็นซับ ซึ่งแนวแบบนี้คือผู้บริการพรรคประชาธิปัตย์แบบปัจจุบัน ไม่เหมือนกับยุคนักอุดมการณ์เหมือนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

รศ.ธนพร กล่าวว่า กรณีที่มองว่าการเชิญชวนในครั้งนี้เป็นการก้าวข้ามความขัดแย้งนั้น มองว่าหากความขัดแย้งก้าวข้ามง่ายขนาดนั้นถือเป็นเรื่องดี แต่เชื่อว่าไม่ง่ายอย่างนั้น แน่นอนว่าวันนี้นายใหญ่มองว่าพรรคเพื่อไทยต้องครองอำนาจในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาล

จริง ๆ แล้วมีอยู่เพียงเหตุเดียวเท่านั้นคือ การนำนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กลับบ้าน และกลับมาในเงื่อนไขเดียวกับที่ตนเองเคยทำ เรื่องปากท้องประชาชนจริง ๆ ก็ทำไป แต่ไม่ใช่ภารกิจหลักที่ควบคู่ไปกับการพาน้องสาวกลับบ้าน ซึ่งต่อให้ต้องทำอย่างไรนายใหญ่เลือกทำหมด

ตั้งแต่นายกนายน้อยพูดหลังกระบวนการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีเสร็จสิ้น ผ่านมาแล้ว 4-5 วัน ยังไม่มีบทขยายว่าที่พูดมาคืออะไร ยิ่งทำให้คนในสังคมจำนวนหนึ่งยิ่งเกลียดนายน้อยเข้าไปใหญ่ ซึ่งคนพวกนี้จะมาเป็นแนวร่วมให้กับพลเอกประวิตร นักร้องก็จะเข้มข้นทุกอาทิตย์ทุกวัน

และเมื่อถูกร้องเรียนทุกอาทิตย์ทุกวัน ไม่ว่าใครเป็นรัฐบาลต่อให้นายน้อยก็ต้องยุบ เกร็ง เมื่อเกร็งก็จะผลักผลงานไม่ออก กลไกของรัฐโดยปกติเมื่อเห็นว่านายกรัฐมนตรีถูกคดีปักหลังทุกวัน ๆ จะเริ่มมองว่าการเมืองไม่แน่นอน ไม่ทำผลงาน รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี และเมื่อผลงานไม่ออก ก็ไม่สามารถเก็บชัยชนะทางการเมืองได้

ภาพพล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) รายการเข้มข่าวเย็น Exclusive Talk
พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)

"ประชาธิปัตย์" มีสองชุดความคิด

พล.ท.ภราดร กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ตอนนี้มีคนละชุดความคิด แต่ถึงแม้ฝ่ายเสียงข้างน้อยซึ่งมีประมาณ 3-4 คน แต่เสียงของคนเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ นายชวน หลีกภัย หรือนายบัญญัติ บรรทัดฐาน จะอย่างไรก็เหนือกว่าปีก 21 คนที่เหลืออยู่

และแม้จะเป็นคนละชุดความคิด การเลือกตั้งที่ผ่านมาจะเห็นได้ชัดว่าประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลงที่เป็นการเมืองใหม่ ฉะนั้นชุดความคิดของสมาชิกพรรคส่วนใหญ่ในตอนนี้อาจไม่เป็นไปตามความคาดหวังของหัวหน้าพรรคและรองหัวหน้าพรรคในการเลือกตั้งครั้งหน้า

พล.ท.ภราดร กล่าวต่อว่า แน่นอนว่าผลเลือกตั้งนั้นชี้ว่าประชาชนต้องการการเปลี่นแปลง ฉะนั้นประชาชนถึงให้โอกาสกับพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยในขณะนั้น แต่พรรคเพื่อไทยกลับหัวกลับหางเอง ฉะนั้นเหตุปัจจัยของชัยชนะของพรรคเพื่อไทยได้สูญเสียไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่ ณ ตอนนี้ก็ดันทุรังเดินต่อไปแบบปลอบใจตัวเอง

สิ่งที่ประชาชนกังวลคือสุญญากาศทางการเมือง ซึ่งพรรคแกนนำเป็นตัวที่ทำให้เกิด จนทำให้กังวลว่าจะเปิดโอกาสให้อำนาจนอกระบบเข้ามาจัดการอีกหรือเปล่า แต่ความโชคดีคือ เมื่ออำนาจนอกระบบเข้ามา ประชาชนรู้แล้วว่าเฮงซวย แม้ช่วงนี้จะเป็นสภาพของความว่าวุ่น อย่างไรก็ตามเชื่อว่าประชาชนจะไม่ทำให้ไปเกิดอำนาจนอกระบบขึ้นอีก

Bottom-BDMS Bottom-BDMS

วิดีโอยอดนิยม

ข่าวเด่นในรอบสัปดาห์

PPTVHD36

เพิ่ม PPTVHD36
ลงในหน้าจอหลักของคุณ